วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

ระบบสื่อสาร

ระบบสื่อสาร

     การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับโดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน

1. ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกำเนิดข่าวสาร(source)
อาจจะเป็นสัญญาณต่างๆเช่น สัญญาณภาพ ข้อมูล และเสียงเป็นต้น ในการติดต่อสื่อสารสมัยก่อนอาจจะใช้แสงไฟ ควันไฟ หรือท่าทางต่างๆก็นับว่าเป็นแหล่งกำเนิดข่าวสารจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน

2. ผู้รับข่าวสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสาร (sink)
ซึ่งจะรับรู้จากสิ่งที่ผู้ส่งข่าวสาร หรือแหล่งกำเนิดข่าวสารส่งผ่านมาให้ตราบใด ที่การติดต่อสื่อสารบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้รับสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสารก็จะได้รับข่าวสารนั้นๆถ้าผู้รับสาร หรือจุดหมายปลายทางไม่ได้รับข่าวสาร ก็แสดงว่าการสื่อสารนั้นไม่ประสบความสำเร็จ กล่าวคือไม่มีการสื่อสารเกิดขึ้นนั่นเอง
โปรโตคอลคือ ในการสื่อสารทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จำต้องมีการสื่อสารข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่ในเครือข่ายเดียวกันนี้ อาจจะมีฮาร์ดแวร์,ซอฟท์แวร์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อทำการส่งข้อมูลถึงละตีความหมายได้ตรงกัน จึงต้องมีการกำหนดระเบียบวิธีการติดต่อให้ตรงกับโปรโตคอล ( Protocol ) คือระเบียบวิธีที่กำหนดขึ้นสำหรับการสื่อสารข้อมูล โดยสามารถส่งผ่านข้อมูลไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง ซึ่งตัวโปรโตคอลที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ TCP/IP นอกจากนี้ยังมีการออกแบบโปรโตคอลตัวอื่นๆขึ้นมาใช้งานอีก เช่น โปรโตคอล IPX/SPX,โปรโตคอล NetBEUI และ โปรโตคอล AppleTalk
โปรโตคอล IPX/SPX
ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Novell ซึ่งทำการพัฒนามาจากตัวโปรโตคอล XNS ของบริษัท Xerox Corporation ซึ่งโครงสร้างเมื่อทำการเปรียบเทียบ
กับ OSI Model ดังรูป
      ตัวโปรโตคอล IPX/SPX
         แบ่งออกเป็น 2 โปรโตคอลหลักคือ Internetwork Packet Exchange ( IPX) และ Sequenced Packet Exchange (SPX) โดยโปรโตคอล IPX ทำหน้าที่ในระดับ network layer ตามาตรฐาน OSI Model มีกลไกการส่งผ่านข้อมูลแบบ connectionless,unrerelibleหมายความว่า เมื่อมีการส่งข้อมูล โดยไม่ต้องทำการสถาปนาการเชื่อมต่อกันระหว่าง host กับเครื่องที่ติดต่อกันอย่างถาวร ( host , เครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการใดๆในเครือข่าย ) และไม่ต้องการรอสัญญานยืนยันการรับข้อมูลจากปลายทาง โดยตัวโปรโตคอลจะพยายามส่งข้อมูลนั้นไปยังปลายทางให้ดีที่สุด สำหรับโปรโตคอล SPX ทำหน้าที่ในระดับ transport layer ตามมาตรฐาน OSI Model โดยส่งผ่านข้อมูลตรงข้ามกับโปรโตคอล IPXคือ ต้องมีการทำการสถาปนาการเชื่อมโยงกันก่อนและมีการส่งผ่านข้อมูลที่เชื่อถือได้ ด้วยการตรวจสอบสัญญาณยืนยันการรับส่งข้อมูลจากปลายทาง
      โปรโตคอล NetBEUI
         เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะสื่อสารและรับส่งข้อมูล
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่างๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่างๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
      การต่อเชื่อมเครือข่ายคอมพิวเตอร์
          หากผู้ใช้มีความคิดที่จะนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาต่อเป็นระบบ โดยใช้ขีดความสามารถเดิมที่มีอยู่ สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้
1) การต่อเชื่อมผ่านช่องทาง COM1 COM2 และ LPT
เป็นวิธีที่นำคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต่อผ่านช่องทาง COM1 หรือ COM2 เพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างกัน ในกรณีนี้ใช้โปรแกรมอรรถประโยชน์ (utility program) บางตัวก็สามารถสำเนาแฟ้มข้อมูลระหว่างกัน หรือส่งออกไปยังเครื่องพิมพ์ร่วมกันได้ รูปแบบการต่อระบบโดยอาศัย COM1 COM2 และ LPT แสดงดังรูปภาพ
2) การต่อเชื่อมเข้ากับบัฟเฟอร์เครื่องพิมพ์การแบ่งกันใช้เครื่องพิมพ์เป็นวิธีการใช้ทรัพยากรเครื่องพิมพ์ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น การใช้เครื่องพิมพ์ที่มีราคาแพง มีคุณภาพดี เช่น เครื่องพิมพ์ความเร็วสูง เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์สีได้ เป็นต้น การใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกันวิธีหนึ่งก็คือ การต่อเข้ากับบัฟเฟอร์ของเครื่องพิมพ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลที่ส่งมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง แล้วจัดการส่งงานทยอยพิมพ์เรียงกันไป เครื่องพิมพ์ที่ต่อกับบัฟเฟอร์จะต่อผ่านช่องทางขนานเหมือนการต่อทั่วไป อย่างไรก็ดี บัฟเฟอร์ของเครื่องพิมพ์บางรุ่นสามารถต่อกับเครื่องพิมพ์ได้หลายเครื่อง ดังแสดงในรูป

3) การเชื่อมต่อโดยใช้ระบบสลับสายข้อมูล
เป็นวิธีการต่อขยายระบบโดยใช้ระบบง่าย ๆ ที่ใช้มือช่วย ระบบสลับสายข้อมูลทำหน้าที่เหมือนชุมสายโทรศัพท์ระบบเก่า ที่ต้องมีพนักงานรับโทรศัพท์คอยสลับสายให้ใช้งานตามความต้องการ เช่น ใช้สายยูทีพี โดยให้หัวต่อเป็นแบบ RJ45 การสลับสายจะเชื่อมต่อระหว่างหัวต่อ RJ45 ที่มารวมกันไว้อยู่บนแผงร่วมกัน ส่วนของแผงนี้จึงเป็นเสมือนส่วนที่รวมสาย เพื่อการเชื่อมโยงจากต้นทางไปยังปลายทางตามข้อกำหนดที่ต้องการ จากรูป เป็นตัวอย่างของการใช้ระบบสลับสายข้อมูล
4) การเชื่อมต่อผ่านระบบผู้ใช้หลายคนหลายช่องทาง
ระบบผู้ใช้หลายคนขนาดเล็กที่อยู่บนไมโครคอมพิวเตอร์มีหลายระบบ เช่น ระบบยูนิกซ์ ระบบเอสซีโอ ระบบดังกล่าวสามารถต่อเชื่อมขยายเข้ากับสถานีย่อยได้มาก เป็นระบบที่ใช้งานร่วมกันได้ในราคาประหยัด มีซอฟต์แวร์สนับสนุนอยู่มาก เช่น ระบบจักการฐานข้อมูลที่มีระบบรักษาความปลอดภัย
ข้อเด่นของระบบผู้ใช้หลายคนในเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่เห็นได้ชัด ได้แก่ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ซึ่งเป็นระบบที่ให้ผู้ใช้ใช้งานพร้อมกันได้หลายคน หลายงาน มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์และซอฟต์แวร์ระบบสื่อสารไว้มาก มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มีการต่อช่องทางเข้าออกไปได้หลายแบบ เช่น แบบเป็นสถานีปลายทาง RS232 ผ่านทางเส้นใยนำแสง อีกทั้งมีระบบเครือข่ายท้องถิ่นที่เชื่อมต่อตามมาตรฐานสากล ทำให้การทำงานของระบบประสบผลสำเร็จ ดังรูปตัวอย่างการต่อเชื่อมระบบยูนิกส์บนพีซีซึ่งจะทำหน้าที่เสมือนการรวมกลุ่มใช้งานอีกแบบหนึ่ง

     ตัวกลางเชื่อมโยง
         ตัวกลางหรือสายเชื่อมโยง เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งลักษณะของตัวกลางต่างๆ มีดังต่อไปนี้
1) สายคู่บิดเกลียว (twisted pair)
สายคู่บิดเกลียว แต่ละคู่สายทองแดงจะถูกพันกันตามมาตรฐานเพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียว


ก. สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นดังรูป เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าข.สายคู่เกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้นดังรูป ทำให้สะดวกในการโค้งงอแต่สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก

2) สายโคแอกเชียล
สายโคแอกเชียลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสายทีวีที่มีการใช้งานกันมาก ไม่ว่าในระบบเคลือข่ายเฉพาะที่ ในการส่งข้อมูลระยะไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์หรือการส่งข้อมูลสัญญาณวีดีทัศน์ สายโคแอกเชียลที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทอล และชนิด 75 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณแอนะล็อก สายโคแอกเชียลจะมีฉนวนหุ้มป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และสัญญาณรบกวนอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายแบบนี้มีช่วงความถี่ที่สัญญาณไฟฟ้าสามารถผ่านได้กว้างถึง 500 Mhz จึงสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่งสูง

3) เส้นใยนำแสง
เส้นใยนำแสง (fiber optic) เป็นการให้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก ปัจจุบันถ้าใช้เส้นใยนำแสงกับระบบอีเธอร์เน็ตจะใช้ได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิต ถ้าใช้กับ FDDI จะใช้ได้ด้วยความเร็วสูงถึง 100 เมกะบิต เส้นใยนำแสงมีลักษณะพิเศษที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงแบบจุดไปจุด ดังนั้น จึงเหมาะที่จะใช้กับการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคาร ระยะความยาวของเส้นใยนำแสงแต่ละเส้นใช้ความยาวได้ถึง 2 กิโลเมตร เส้นใยนำแสงจึงถูกนำไปใช้เป็นแกนหลัก เส้นใยนำแสงนี้จะมีบทบาทมากขึ้น เพราะมีแนวโน้มที่จะให้ความเร็วที่สูงมาก

    อุปกรณ์ที่ใช้ในการต่อระหว่างเครือข่าย
         อุปกรณ์ที่ใช้ในการต่อระหว่างเครือข่ายมีมากมายหลายรูปแบบ เพื่อทำให้ระบบเครือข่ายขยายวงกว้างออกไป การขยายนี้ทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างกว้างขวาง อุปกรณ์ประกอบที่สำคัญประกอบด้วย
1) เครื่องบริการปลายทาง การขยายเครื่องบริการปลายทางของระบบออกไปจะเสมือนการต่อแบบ RS232 ออกมาจากแม่ข่าย (host) แต่ข้อดีคือ ใช้เครือข่ายเป็นตัวเชื่อมต่อได้ ทำให้ผู้ใช้เครื่องบริการปลายทางสามารถเลือกไปยังแม่ข่ายตัวใดในเครือข่ายก็ได้ โครงสร้างการต่อเครื่องให้บริการปลายทางเป็นดังรูป

รูปตัวอย่างการต่อเชื่อมเครื่องบริการปลายทาง

2) เครื่องบริการงานพิมพ์ เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อกับเครือข่ายเพื่อทำให้การต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับเครือข่ายได้หลายเครื่อง ในการใช้งานผู้ใช้ที่อยู่บนเครือข่ายสามารถเลือกใช้เครื่องพิมพ์เครื่องใดก็ได้ โดยการส่งแฟ้มออกมาพิมพ์ เครื่องบริการงานพิมพ์มีบัฟเฟอร์เพื่อจัดลำดับการพิมพ์ได้


รูปตัวอย่างการต่อเชื่อมเครื่องบริการงานพิมพ์ในระบบเครือข่าย
3) เครื่องบริการซีดีรอม เป็นอุปกรณ์อ่านซีดีรอมเพื่อกำหนดเป็นฐานข้อมูลกลางเพื่อให้เครือข่ายเชื่อมกับตัวอ่านซีดีรอม ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถเรียกค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลซีดีรอมได้ ปกติเครื่องบริการซีดีรอมจะประกอบด้วยตัวอ่านซีดีรอมซึ่งสามารถอ่านได้หลายแผ่น เพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่


รูปตัวอย่างการต่อเชื่อมเครื่องบริการซีดีรอม
4) เครื่องขยายสัญญาณ เครื่องขยายสัญญาณเป็นอุปกรณ์เพื่อใช้ในการเปลี่ยนตัวกลาง นำสัญญาณจากตัวกลางหนึ่งไปอีกตัวกลางหนึ่ง เช่น จากเส้นใยนำแสงมายังสายโคแอกเชียล หรือการเชื่อมต่อระหว่างตัวกลางเดียวกันก็ได้ การใช้เครื่องขยายสัญญาณจะทำให้เครื่องข่ายทั้งสองข้างเสมือนเชื่อมกัน เครื่องขยายสัญญาณจะไม่มีการกันข้อมูล เพราะสัญญาณจะวิ่งทะลุถึงกันได้หมด แต่จะมีประโยชน์ในการเชื่อมความยาวให้ยาวขึ้น เช่น เทนเบสที มีความยาว 158 เมตร ถ้าผ่านเครื่องขยายสัญญาณก็จะทำให้ยาวขึ้นได้อีก 185 เมตร ลักษณะการต่อเครื่องขยายสัญญาณเป็นดังรูป


รูปตัวอย่างการต่อเชื่อมเครื่องขยายสัญญาณขยายความยาว
5) บริดจ์ บริดจ์ (bridge) มีลักษณะคล้ายเครื่องขยายสัญญาณ แต่จะกันสัญญาณระหว่างอุปกรณ์ในแต่ละส่วนออกจากกัน ดังรูปที่ 7.23 สถานีงาน Y เรียกสถานีงาน A สัญญาณข้อมูลจะไม่ผ่านไปหาสถานีงาน X บริดจ์จึงทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายมีประสิทธิภาพ ลดการชนกันของข้อมูลลงไป บริดจ์จึงเป็นสะพานสำหรับข้อมูลสองเครือข่าย


รูปตัวอย่างการต่อเชื่อมระหว่างเครือข่ายด้วยบริดจ์
6) อุปกรณ์จัดเส้นทาง หากมีการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่าหนึ่งส่วนและให้มีการกำหนดเส้นทางเลือกไปยังส่วนใด หรือหาเส้นทางที่เหมาะสมในการส่งต่อไปเป็นลำดับต้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า อุปกรณ์จัดเส้นทาง(router) อุปกรณ์จัดเส้นทางเป็นอุปกรณ์ที่จัดการเครือข่ายเพื่อให้การเดินทางของข้อมูล จากต้นทางไปยังปลายทางเป็นไปอย่างถูกต้อง

        วิธีการสื่อสารข้อมูล (DATA TRANSMISSION)


        ลักษณะของการสื่อสารข้อมูล มี 2 รูปแบบคือ การสื่อสารแบบอนุกรม (serial data transmission) และการสื่อสารแบบขนาน (parallel data transmission) การสื่อสารแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
1. การสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรม (serail data transmission)
เป็นการส่งข้อมูลครั้งละ 1 บิต ไปบนสัญญาณจนครบจำนวนข้อมูลที่มีอยู่ สามารถนำไปใช้กับสื่อนำข้อมูลที่มีเพียง1ช่องสัญญาณได้ สื่อนำข้อมูลที่มี 1 ช่องสัญญาณนี้จะมีราคาถูกกว่าสื่อนำข้อมูลที่มีหลายช่องสัญญาณ และเนื่องจากการสื่อสารแบบอนุกรมมีการส่งข้อมูล
ได้ครั้งละ 1 บิตเท่านั้น การส่งข้อมูลประเภทนี้จึงช้ากว่าการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิ 2. การสื่อสารข้อมูลแบบขนาน (parallel data transmission)
เป็นการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิตขนานกันไปบนสื่อนำข้อมูลที่มีหลายช่องสัญญาณ วิธีนี้จะเป็นวิธีการส่งข้อมูลที่เร็วกว่าการส่งข้อมูลแบบอนุกรมจากรูป เป็นการแสดงการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ 2 ตัว ที่มีการส่งข้อมูลแบบขนาน โดยส่งข้อมูลครั้งละ 8 บิตพร้อมกัน

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)

         การหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มีขั้นตอนดังนี้

1.แยกงานสถานที่จากบทและรวมกลุ่มสถานที่ 
     การเริ่มหาสถานที่ให้นำบทมาอ่านแล้วลำดับรายชื่อสถานที่เกิดขึ้นในบท จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันโดยคำนึงถึงกลุ่มสถานที่ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวก เช่น ฉากทะเล ภูเขา หมู่บ้าน ชาวประมง ร้านอาหารริมทะเล หรือบ้านไม้ ซอยแคบ ถนนลูกรัง หรือโรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาเกต ร้านไอศกรีม ฯลฯ

2.ติดต่อสอบถาม 
     เมื่อได้รายชื่อสถานที่แล้ว ให้ติดต่อสอบถามแหล่งต่างๆ เช่น จากเพื่อน ผู้ช่วยผู้กำกับกองถ่ายอื่น เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตามสถานที่ต่างๆ ดูจากนิตยสารการท่องเที่ยว โปสการ์ด แผ่นพับ เพื่อให้ได้ข้อมูลขั้นต้น ไม่ใช่ออกหาสถานที่เลย เพราะจะประหยัดเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหารได้มาก

3.บริหารการเดินทาง 
     การออกหาสถานที่ถ่ายทำ หากเช่ารถแล้วควรเริ่มออกแต่เช้าตรู่ บุคคลที่ไปหาไม่ควรเกิน 2 คน คือ ฝ่ายธุรกิจหนึ่ง และผู้ช่วยฝ่ายศิลป์หนึ่ง ฝ่ายธุรกิจดูแลการจัดการ เช่น ระยะทาง ค่าเช่าที่พัก การติดต่อขออนุมัติ ส่วนฝ่ายศิลปะดูความสวยงามทางศิลปะที่สอดคล้องกับบท ใช้กล้องและฟิล์มราคาถูกถ่ายภาพมุมต่างๆ ที่เห็นเหมาะ บางสถานที่ขอภาพถ่ายที่เขามีอยู่แล้ว หรือขอแผ่นพับโฆษณาก็ได้ ในขณะเดียวกันร่างแผนที่และแผนผังพื้นที่มาด้วย

4.นำภาพถ่ายเข้าที่ประชุม นำภาพถ่ายแผ่นพับ แผนผัง และข้อมูลที่ได้มาเพื่อเข้าที่ประชุมและคัดเลือก

5.ดูสถานที่จริง
     เมื่อคัดเลือกสถานที่ขั้นต้นได้แล้ว ขั้นต่อไปผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ และผู้กำกับฝ่ายศิลป์ จะเดินทางไปดูสถานที่จริง จะเพิ่มเติมดัดแปลงอะไร จะวางกล้องตรงไหนจะได้ปรึกษากับตอนนี้ เบอร์โทรศัพท์ แผนที่ วันเวลาเปิดปิด เงื่อนไขการเข้าสถานที่ก็ยืนยันความแน่นอนตอนนี้

         ข้อควรคำนึงในการหาสถานที่ถ่ายทำ

     สถานที่ถ่ายทำที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ มีความเหมาะสมในแง่การจัดการ และมีคุณค่าทางศิลปะ ความเหมาะสมในการจัดการ ก็คือ

1.ใกล้ที่ทำงาน ถ้าเป็นได้สถานที่นั้นไม่ควรไกลจากที่ทำงาน เพื่อความสะดวกหากลืมสิ่งของที่จำเป็นจะประหยัดค่าเดินทาง

2.มีความหลากหลาย สถานที่นั้นหากไปที่เดียวแล้วถ่ายได้หลายฉาก จะเป็นสถานที่ถ่ายทำที่ดีมาก เราจะไม่ต้องเคลื่อนย้ายกองถ่ายบ่อยๆ เช่น ไปหมู่บ้านจัดสรรก็จะได้ร้านค้า บ้าน สวนสาธารณะ โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น สนามกอล์ฟ คลับ ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ ถนนในหมู่บ้าน ฯลฯ จะมีความสะดวกในการถ่ายทำ เวลาจะย้ายกองถ่ายก็ย้ายกองถ่ายใกล้ๆ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก

3.มีความสะดวกในการถ่ายทำ คือ มีโทรศัพท์ติดต่อ มีที่จอดรถสะดวก ห้องน้ำมีหลายห้อง มีพื้นที่ว่างสำหรับแต่งกายและแต่งหน้า มีความสูงของเพดานสำหรับติดตั้งดวงไฟ มีพื้นที่สำหรับเก็บพักอุปกรณ์ถ่ายทำ มีพื้นที่สำหรับจัดส่วนรับประทานอาหารของกองถ่าย ไม่มีเจ้าถิ่นที่คอยรบกวน

4.ราคาไม่แพง สถานที่ควรเก็บค่าเช่าไม่แพงนัก หากไม่เสียเลยได้ยิ่งดี เพียงแต่เสียค่าแม่บ้านทำความสะอาด หรือช่วยค่าน้ำค่าไฟบ้างเท่านั้น เช่น บ้านเพื่อน หน่วยราชการ สถานที่เพื่อการกุศล สถานที่ทำการบริการ หากแลกเปลี่ยนกับการขึ้นไตเติลให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย การหาสถานที่ที่ขายบริการ เช่น ร้านอาหาร ไนท์คลับ โรงแรม สวนสนุก ควรหาที่ที่เปิดกิจกรรมใหม่ๆ จะไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะกิจการเหล่านั้นจะอยู่ในช่วงประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย

5.ไม่มีสิ่งที่จะเสียหายง่าย ควรหาสถานที่ถ่ายทำที่จะเสี่ยงต่อการชดใช้ของเสียหายน้อยที่สุด เช่น สถานที่ที่มีของราคาแพง เช่น พรม เครื่องลายคราม เครื่องแก้ว ไม้ประดับราคาสูง เพราะหากหาย หรือเสียหายขึ้นมาจะยุ่งยากต่อการชดใช้

6.เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ ที่จะทำให้บันทึกเสียงไม่ได้ เช่น สถานที่มีเสียงเครื่องจักร เสียงอู่ซ่อมจักรยานยนต์ เสียงเด็กอ่อน บ้านที่เลี้ยงสุนัข ถนนที่มีรถเสียงดังวิ่งผ่าน โครงการก่อสร้าง ฯลฯ

7.มีความสะดวกในการจัดฉาก การจัดฉากภาพยนตร์ไม่เหมือนละครเวที มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีแล้วแต่สถานการณ์ บางครั้งต้องย้ายมุมกล้อง หรือผู้กำกับนึกภาพออกมาอย่างกระทันหัน สถานที่ที่ดีควรจะมีอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ที่จะหยิบยืม นำมาจัดฉากได้ง่าย เช่น โต๊ะ ต้นไม้ กระถาง รูปภาพ แจกัน เครื่องเรือนชุดสนามที่สามารถยกมาจัดแต่งเพิ่มเติมได้ทันที

           ความเหมาะสมในแง่ศิลปะ

1.ถูกต้องตามข้อเท็จจริง สถานที่นั้นจะต้องสมจริงตรงตามบท ไม่มีจุดอ่อนที่จะจับผิดได้สอดคล้องกับรูปแบบ และยุคสมัยตามท้องเรื่อง

2.ได้บรรยากาศและความรู้สึก สถานที่จะต้องมีบรรยากาศ มีโครงสีให้ความรู้สึกที่ดี เช่น ในบทบอกว่าชาวนากำลังมีความรัก ก็จะเป็นท้องนาเหลืองอร่าม น้ำเปี่ยมคลอง หรือในบทบอกว่านางเอกเดินเศร้าคิดถึงพระเอก ก็ควรจะเป็นฉากที่พื้นสีเทา (ลานดิน ลานซีเมนต์) มีเสาไฟฟ้าโดดเดี่ยว หรือมีต้นไม้แห้งใบโกร๋น หรือนางเอกอยู่ในภาวะอันตราย เช่น ทางเดินในซอกตึกแคบๆ ที่ผนังตึกบีบทำให้รู้สึกอึดอัด ดังนี้เป็นต้น โครงสีของสถานที่มีส่วนสร้างอารมณ์ความรู้สึกได้มาก สถานที่ที่มีโครงสีโทนใดโทนหนึ่ง เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบฉากก็จะต้องออกแบบสีให้มีศิลปะ เช่น นางเอกไปวัดผ่านทุ่งนาสีเขียวเหลือง เครื่องแต่งกายและร่ม อาจจะเป็นสีแดงสดใส เป็นต้น การออกแบบสีจะทำให้ภาพมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะโครงสีที่ให้อารมณ์เด่นชัด เช่น เทา ม่วง ให้อารมณ์เหงา , ชมพู เหลือง ฟ้า ให้อารมณ์สดใส

3.มีพื้นที่และหลืบสลับซับซ้อน สถานที่ถ่ายทำไม่ควรจะมีฉากหลังแบนที่ดูแล้วทึบตัน เช่น ถนน ตรอก ซอย ควรจะลึกสุดสายตา มุมตึกควรจะมีหลืบและซอกต่างๆ เพราะเมื่อจัดแสง ภาพจะเกิดน้ำหนักสวยงาม อีกทั้งระยะลึกจะทำให้เห็นมีสิ่งต่างๆ หลากหลาย เช่น ฉากตรอกซอยลึก เราจะได้ร้านค้า รถตุ๊กตุ๊ก กองขยะ ลังไม้ รถเข็น เด็กเล่นแบดมินตัน ซึ่งจะทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา

4.มีความหมายเชิงนัยนะ การหาสถานที่ถ่ายทำในบางครั้ง อาจจะหาสถานที่ที่มีความหมายเชิงนัยยะ หมายถึง สถานที่มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นนัยของความรู้สึก เช่น โบสถ์ที่มีเงาไม้กางเขนทาบลงบนพื้น แล้วเราใช้สถานที่นั้นในฉากที่ตัวละครตายแล้วมีเงาพาดผ่าน ทุ่งดอกไม้สีชมพู เมื่อพระเอกนางเอกพบรักกัน หรือหน้าผาสูงที่ตัวละครทะเลาะกัน จะเกิดความรู้สึกหมิ่นเหม่เหมือนจะตกหน้าผา ได้ความรู้สึกของความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง หรือฉากที่มีพื้นกระเบื้องยางตารางหมากรุกดำและขาวก็จะเป็นความรู้สึกขัดแย้งกัน หรือฉากเด็กเล็กที่กำลังจะถูกลักพาตัว แล้วถูกอุ้มวิ่งผ่านสวนกระบองเพชร จะทำให้ได้อารมณ์ความรู้สึกของสถานที่เหล่านี้อยู่ที่การตีความของผู้กำกับ ที่จะเลือกสถานที่ได้ความรู้สึกและความหมายทางศิลปะ

ที่มา : http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แนวคิดการสร้าง video

แนวคิดการสร้าง video
     ก่อนที่ลงมือสร้างผลงานวิดีโอสักเรื่อง จะต้องผ่านกระบวนการคิด วางแผนมาอย่างรอบครอบ ไม่ใช่ไปถ่ายวิดีโอแล้วก็นำมาตัดต่อเลย เพราะปัญหาที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือการที่ไม่ได้ภาพตามที่ต้องการ เนื้อหาที่ถ่ายมาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการนำเสนอ ในที่นี้ขอแนะนำแนวคิดในการทำงาน วิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการ โดยมีลำดับแนวคิดของงานสร้างวิดีโอเบื้องต้น ดังนี้

1. เขียน Storyboard

    สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้ก่อนสร้างงานวิดีโอ ก็คือ
การเขียน Storyboard คือ การจินตนาการฉากต่างๆ ก่อนที่จะถ่ายทำจริง เพียงเขียนวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไรหรืองานประเภทไหน เขียนออกมาเป็นฉาก เรียงลำดับ 1, 2, 3,.......


2. เตรียมองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้

    ในการทำงานวิดีโอ เราจะต้องเตรียมองค์ประกอบต่างๆ
ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์วิดีโอ ไฟล์ภาพนิ่ง ไฟล์เสียง หรือไฟล์ดนตรี

3. ตัดต่องานวิดีโอ

    การตัดต่อคือการนำองค์ประกอบต่างๆ ที่เตรียมไว้มาตัดต่อเป็นงานวิดีโอ งานวิดีโอจะออกมาดีน่าสนใจเพียงใดขึ้นอยู่กับการตัดต่อเป็นสำคัญ ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้การตัดต่อในบทต่อไปก่อน

4. ใส่เอ็ฟเฟ็กต์/ตัดต่อใส่เสียง

    ในขั้นตอนการตัดต่อ เราจะต้องตกแต่งงานวิดีโอด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสี การใส่ข้อความ หรือเสียงดนตรี ซึ่งจะช่วยให้งานของเรามีสีสัน และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น


5. แปลงวิดีโอ
 
     เพื่อนำไปใช้งานจริงขั้นตอนการแปลงวิดีโอเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในการทำงานวิดีโอที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้วนั้นไปใช้งาน โปรแกรม Ulead Video Studio สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ทำเป็น VCD, DVD หรือเป็นไฟล์ WMV สำหรับนำเสนอทางอินเทอร์เน็ต

ที่มา : https://sites.google.com/site/vdoclassroom/unit1/i1-2-naewkhid-kar-srang-widixo

คู่มือการใช้โปรแกรม IMOVIE

โปรแกรม IMOVIE

1. คลิกที่ icon iMovie เพื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา คลิกFile เลือก New project จากนั้นเลือกThemes ตั้งชื่อproject แล้วคลิก create

2. ทำการ import ไฟล์วิดีโอ โดยเลือกโฟลเดอร์ที่บันทึกวิดีโอไว้ แล้วกด import

3. จะปรากฎรายการวิดีโอคลิปต่างๆที่เราถ่ายไว้แล้ว ขึ้นมาให้เลือก โดยวิดีโอที่ถ่ายครั้งหลังสุดจะอยู่ด้านบนสุด

4.เมื่อชี้เมาส์ไปตามวิดีโอมันจะทำการรีวิววิดีโอไปที่จอเล็กด้านข้าง เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการวิดีโอไหนก็คลิกแล้วลากซึ่งจะปรากฏเป็นกรอบสีเหลือง จากนั้นคลิกลากไปไว้ที่ project Library

5.ทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อต้องการเพิ่มTitleให้คลิกที่ Titleแล้วลากมาวางทับวิดีโอนั้น แล้วไปพิมพ์ข้อความที่ต้องการที่รีวิววิดีโอ

6.เมื่อจะทำการบันทึก ให้คลิกที่ share => Export Movie => imovie

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=o6IpcUQBrl8
https://ikimboo.wordpress.com/imovie/

มือใหม่กับการถ่ายวีดีโอ ถ่ายให้เป็นทำอย่างไร?

มือใหม่กับการถ่ายวีดีโอ ถ่ายให้เป็นทำอย่างไร?


     การถ่ายวีดีโอเป็นทรัพยากรที่สำดัญที่สุดที่จะทำให้ผลงานดีที่สุด ปัจจัยอย่างอื่น มันเกี่ยวข้องน้อยที่สุด การที่ได้วีดีโอที่ดีมาแล้ว ถือว่าสำเร็จไปแล้ว 80%

การที่จะได้วีดีโอที่ดีมาได้ ลองนำเอาเทคนิคเหล่านี้ไปประกอบกับการถ่ายวีดีโอ

1. หลีกเลี่ยงการซูม เข้าและออกมากเกินไป

โดยปกติคนขายกล้องมักจะโฆษณาโอ้อวด กล้องวีดีโอของเขามีความสามารถสูงสามารถซูมได้หลายร้อยเท่ามากกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่นั่นมันไม่ได้เป็นปัจจัยที่ดีเลยเพราะว่า ถ้าคุณซูมมากกว่า 4X ก็เกิดอาการสั่น ภาพที่ได้ออกมาก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยกเว้นคุณจะใช้ขาตั้งกล้องควบคู่กับการซูม เมื่อเราหลงคารมคนขายก็ได้กล้องที่ความสามารถในการซูมสูง และพวกเราก็ใช้มันเสียเลย แบบว่าซูมเข้า ๆ ออก ๆ เป็นว่าเล่น พอทำเป็น CD หรือ DVD ออกมา ดูแล้วมึน เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงการใช้ซูมให้น้อยที่สุดและที่เท่าจำเป็น และถ้าจำเป็นต้องการใช้ซูมก็ขอให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ควรใช้ซูมระหว่างขณะที่เปลี่ยนฉาก ถ้าทำอย่างนี้ได้วีดีโอก็จะดูดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่ผมบางครั้งหลงลืมตัวใช้เหมือนกัน

2. จับกล้องให้นิ่งขณะถ่ายวีดีโอ

กล้องวีดีโอ ปัจจุบันนี้ตัวขนาดเล็ก และมีปัญหาแน่นอนกับอาการสั่น ไม่เหมือนกล้องรุ่นใหญ่ ๆ มีน้ำหนักมากต้องแบกใส่บ่า และนั่นแหละก็เป็นลดอาการสั่นได้ดี แต่ไม่มีคนอยากใช้เพราะพกพาลำบาก จึงต้องมาใช้กล้องวีดีโอขนาดเล็ก

ถึงแม้ว่าจะจับกล้องให้นิ่งแล้ว แต่อาการสั่นก็จะมีนิดหน่อย แต่เทคโลยีของกล้องก็สามารถชดเชยอาการสั่นได้เล็กน้อย วีดีโอที่ออกมาก็จะดูนิ่ง หรือถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อาศัยเทคนิคในการทำกล้องให้นิ่งอย่างอื่น เช่น ใช้ขาตั้งกล้อง (สามขา) เหมือนกับมืออาชีพเค้าใช้กัน (แบบนี้นายแบบ นางแบบตัวน้อยของพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่รอหรอกครับ วิ่งกันกระจัดกระจาย มีน้อยคนที่ใช้) หรือ ง่ายขึ้นมาอีกหน่อยก็ใช้ขาตั้งแบบขาเดียวตั้งบนพื้นแล้วก็จะกล้องให้นิ่ง แบบนี้ก็จะเกิดอาการเอียงเกิดขึ้นบ้างแต่ก็ลดอาการสั่นดีกว่าใช้มือจับ หรือยืนให้หลังพิงฝา หรือนั่งคลุกเข่า ถ้าจะให้ดี ถ่ายวีดีโอแบบไม่ใช้จอ LCD เอากล้องแนบกับลูกตาแล้วกดให้นิ่ง แบบนี้ก็ลำบากกับคนใส่แว่น เหมือนกัน

3. การถ่ายวีดีโอเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เป็นที่น่าสนใจ มีชีวิตชีวา

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราบันทึกไว้ในวีดีโอ เสมือนกับเราพาคนดูวีดีโอของเราไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ หลังจากนั้นก็ตัดเข้าไปหากลุ่มที่เราต้องการโฟกัส คนใดคนหนึ่งที่เป็นตัวหลัก และบันทึกวีดีโอเสมือนเราเอากล้องไปวางไว้บนหัวของคนนั้น ๆ ตัดไปตัดมา เช่น วันนี้พาลูกสาวตัวเล็ก ๆ เข้าไปชมพระบรมมหาราชวัง อันดับแรกก็ถ่าย ภาพวิวรวมทั้งหมดก่อน หลังจากนั้น ก็วิ่งไปดักหน้า แล้วก็ถ่ายเธอกำลังเดินเข้ามากับแม่ของเขา หลังจากเธอก็เดินผ่านไปแล้วก็มองเจดีย์สักอย่างหนึ่ง เราก็ถ่ายข้าง ๆ หรือด้านหลังว่าเธอกำลังมองเจดีย์ แล้วก็ตัดไปถ่ายเจดีย์นั้น ฉะนั้นคนที่ดูวีดีโอ ก็จะตื่นเต้นเหมือนกับเดินไปกับลูกสาวของเรา

4. การลำดับเรื่องจะจบ หรือการเริ่มต้น?


นี่เป็นเทคนิคการลำดับเรื่อง บางครั้งก็ออกอาการมึนเหมือนกันว่าจะเริ่มอย่างไร? และจะจบอย่างไร? ดูแล้วสนุกตื่นเต้น แบบนี้ก็สามารถลอกเลียนแบบภาพยนต์สักเรื่องหนึ่ง หรือสารคีใด ๆ สักเรื่อง เช่น เริ่มจากการเกริ่นจากในบ้านคุณแม่กำลังคุย + เปิดหนังสือท่องเที่ยวให้ลูกสาวดูที่ใดที่หนึ่งแล้วก็เล่าเรากำลังจะไป ตัดไปยังขณะขับรถเดินทาง ตัดไปยังแผนที่แล้วก็มีรถวิ่งจากบ้านไปที่ที่ต้องการจะไป แล้วก็ผ่านสิ่งต่าง ๆ ตามข้างทาง แล้วก็ถึงที่หมาย แล้วบันทึกกิจกรรมในวันนั้น ๆ และช่วงกลาง ๆ ของกิจกรรม บางครั้งก็อาจะตัดกลับไปในบ้านคุณแม่กำลังคุย + เปิดหนังสืออีกครั้งหนึ่งแทรกไปอยู่เป็นตอน ๆ สุดท้ายก็เดินทางกลับบ้านเหมือนกับการเดินทางไป และก็จบลงตรงที่แม่อ่านหนังสือจบและพูดคุยกับลูก เทคนิคเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการจินตนาการ+เทคนิคการตัดต่อด้วย และทำให้เกิดการเริ่มต้น และจบแบบสมบูรณ์

5. ทำให้สั้น และเข้าใจง่าย

ถ้าตั้งกล้องถ่ายวีดีโอที่มีความยาวมากกว่า 2 นาทีนั้น มันจะทำให้ผู้ดูเบื่อหรือก็หลับไปเลย การทำคลิปวีดีโอประกอบด้วยคลิปย่อยจำนวนมากมาย คลิปหนึ่ง ๆ มีความยาวประมาณ 5 ถึง 10 วินาที จะได้ผลมากกว่า ทำให้คนดูตื่นเต้นใจจดใจจ่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก พิธีการบางสิ่งบางอย่างก็เอาส่วนหัวส่วนท้ายก็พอ แล้วก็ตัดเอาช่วงกลางออกไปให้รู้ว่านี่เป็นพิธีการอะไรเท่านั้นก็พอ

6. เงา แสง มุมกล้อง

แสงธรรมชาติ มุมกล้องจะมีความสัมพันธ์กันได้ก็ยิ่งดี เพราะสถานที่ที่เราไปถ่ายต้องอาศัยแสงธรรมชาติเป็นหลัก ไม่สามารถจัดหาไฟสตูดิโอได้ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องหลีกเลี่ยงการถ่ายย้อนแสงแบบจัง ๆ เพราะจะทำให้คนที่ถูกถ่ายหน้าดำ แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องถ่ายย้อนแสง ก็อาจจะใช้ backlight ที่ติดมากับกล้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ลดอาการหน้าดำได้บ้าง หรือหันมุมกล้อง เพื่อให้เกิดแสงเงาแทนที่จะถ่ายคนตรง ๆ หรือสถานที่นั้นตรง ๆ นั่นก็จะได้มุมมองที่แปลก ๆ

7. การเปลี่ยนมุมมอง

ถ้าตั้งกล้องถ่ายวีดีโอมุมเดียวนั้นโอกาสที่ผู้ชมจะเบื่อมาก ๆ เพราะนั้นการเปลี่ยนมุมหลาย ๆ มุม (มุมบน มุมล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา) เหมือนกับใช้กล้องหลายตัวรุมจุดโฟกัสนั้น ๆ ตัดสลับไปมา บางที่ก็มีการถ่ายซ้ำและนำเอาไปตัดต่อเอา ก็จะทำให้เกิดการสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง โฟกัสสิ่งที่กำลังดำเนินไปอยู่

8. เรียนรู้จากภาพยนตร์

การเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ จากภาพยนต์ และจดจำ เช่น ถ้านั่งดูภาพยนต์ไป และลองเดาว่าจะเปลี่ยนฉากอย่างไร แสดงว่าคุณมองออก และสามารถดำเนินเรื่องการถ่ายวีดีโอของคุณแบบไม่ติดขัด และเก็บสิ่งแวดล้อม เก็บสถานการณ์ ได้ทั้งหมด หลังจากนั้นก็เอามาตัดต่อและเรียงลำดับใหม่ในคอมพิวเตอร์ เล่าเป็นเรื่องราวได้อย่างสนุก

9. การเตรียมแบตเตอรี่ให้เพียงพอ
ถ้าแบตเตอรี่หมดขณะการถ่ายทำ ทุกอย่างก็จบ ฉะนั้นก็ต้องเตรียมแบตเตอรี่ลูกใหญ่ขึ้น หรือพกสายยาว ๆ เสียบปลั๊กเอาก็ได้ เพื่อเหตุการณ์ดำเนินการไปด้วยดีก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการเตรียมแบตเตอรี่ลูกใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ

10. ระบบเสียง

ถ้าทำได้ก็ยิ่งดี หมายถึง ทุกอย่างพร้อมและเตรียมมาดีก็จะให้การถ่ายทำวีดีโอสมบูรณ์ขึ้น แต่โฮมวีดีโอ มันเอาแน่นอนไม่ได้ไม่มีบทไม่มีสคริป ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ บางทีก็อาศัยการตัดต่อเอาส่วนที่ไม่ต้องการออกไป หรือค่อยมาเสริมด้วยบทพากษ์ใหม่แทรกเข้าไปหรือเพิ่มบทเพลง เพื่อที่จะกลบเกลื่อน

เทคนิควิธีการสร้างหนังสั้นง่ายๆ


เทคนิควิธีการสร้างหนังสั้นง่ายๆ
ขั้นแรก หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ การตัดต่อ การประเมินผล
ขั้นสอง หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึงผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิร์ค
ขั้นสาม เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ
ขั้นสี่ บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา เรื่องบทจะมี หลายแบบ
- บทแบบสมบูรณ์ เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูด
- บทแบบอย่างย่อ เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง
- บทแบบเฉพาะ
- บทแบบร่างกำหนด
ขั้นห้า การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบ เยอะมาก มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้ เป็นต้น
ขั้นหก ค้นหามุมกล้อง
- มุมคนดู เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ
- มุมแทนสายตา
- มุม point of view มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆ สวยมากในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ
ขั้นเจ็ด การเคลื่อนไหวของกล้อง
- การแพน การทิลท์ การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันธ์กัน
- การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหว
- การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง
ขั้นแปด เทคนิคการถ่าย
จับกล้องให้มั่น จับแบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลย และไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็ว กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอ
ขั้นเก้า หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟคต์ ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่องตัวอักษรหนังสือ
ขั้นสิบ การตัดต่อ
1.จัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้ง
2. จัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่วางไว้
3. แก้ไขข้อบกพร่อง
4. เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม
5. ควบคุมเรื่องเสียง

ขั้นตอนการตัดต่อและเชื่อมฉากมีอะไรบ้าง

- การตัด cut
- การเฟด fade
- การทำภาพจางซ้อน
- การกวาดภาพ
- ซ้อนภาพ
- ภาพมองทาจ


ที่มา : https://sites.google.com/site/khtpshortfilm/

เทคนิคมุมกล้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์

เทคนิคมุมกล้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์

เทคนิคมุมกล้อง

การถ่ายภาพในมุมที่ต่างกัน ยังมีผลต่อความคิดความรู้สึกที่จะสื่อความหมายไปยังผู้ดูได้ เราอาจแบ่งมุมกล้องได้เป็น 3 ระดับ คือ
· ภาพระดับสายตา คือ การถ่ายภาพในตำแหน่งที่อยู่ในระดับสายตาปรกติที่เรามองเห็น ขนานกับพื้นดิน ภาพที่จะได้จะให้ความรู้สึกเป็นปรกติธรรมดา
· ภาพมุมต่ำ การถ่ายภาพในมุมต่ำ คือ การถ่ายในต่ำแหน่งที่ต่ำกว่าวัตถุ จะให้ความรู้สึกถึงความสูงใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง แสดงถึงความสง่า
· การถ่ายภาพมุมสูง คือ การตั้งกล้องถ่ายในต่ำแหน่งที่สูงกว่าวัตถุ ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกถึงความเล็กความต้อยต่ำ ไม่มีความสำคัญ

เทคนิคการซูมและการโพกัส


1.ในขณะที่ซูมไม่ควรเดินหรือเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้วีดีโอที่ได้มีโอกาสสั่นไหวสูง
2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์
3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูรายละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ
4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล

การแพนกล้อง


การแพนกล้องที่ดีต้องมีจังหวะที่จะแพน คือต้องมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของการแพน จุดนี้เองคนที่อยู่เบื้องหลังคอยตัดต่อภาพทั้งหลายมันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะตัดต่อภาพ โดยมีภาพทีแกว่งไปแกว่งมา หรือวูบวามไปมา เมื่อนำมาร้อยใส่ภาพนิ่งๆจะรู้สึกได้เลยว่าไม่เข้ากัน พลอยทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ไม่นิ่มนวลสมจริง บางครั้งรู้สึกว่าโดดไปโดดมา หากจะให้ตัดต่อได้สะดวกและภาพสมบูรณ์ การแพนจะต้องมีจุดเริ่ม คือเริ่มจากถือกล้องให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นกดปุ่มบันทึกภาพแล้วค่อยแพน และจุดจบ คือนิ่งทิ้งท้ายตอนจบอีกเล็กน้อย เพื่อบอกคนดูให้เตรียมพร้อมและพักสายตาระหว่างชมภาพ

การบันทึกเป็นช็อต

“ช็อต” คือการเริ่มบันทึก เพื่อเริ่มเทปเดินและเริ่มบันทึกลงม้วนเทป จนกระทั่งกดปุ่ม Rec อีกครั้ง เพื่อเลิกการบันทึก แบบนี้เค้าเรียกว่า 1 ช็อต การถ่ายเป็นช็อคไม่ควรปล่อยให้ช็อตไม่ควรปล่อยให้ช็อตนั้นยืดยาวไปนัก คือไม่ควรเกิน 5วินาทีต่อ 1 ช็อต

วิธีการบันทึกเป็นช็อต

การถ่ายเป็นช็อตนี้ จะต้องเลือกมุม เลือกระยะที่จะถ่ายก่อน เลือกว่าจะถ่ายแบบไหนที่จะได้องค์ประกอบครบถ้วน ยกกล้องขึ้นส่อง จัดองค์ประกอบ แล้วถือให้นิ่ง กดบันทึก นับ 1-2-3-4-5 แล้วกดหยุด ในระหว่างกดบันทึกห้ามสั่น ห้ามไหวเด็ดขาด วิธีการไม่ยากนัก โดยให้รอจังหวะ หลักการง่ายๆคือนิ่งๆเข้าไว้ และไม่จำเป็นต้องถ่ายทั้งหมดหรือถ่ายยืดยาว เลือกแค่เป็นช็อตสำคัญก็พอ

รูปแบบการบันทึกเป็นช็อต

Shot ในความหมายของระยะการถ่ายทำภาพยนตร์อาจแบ่งจากลักษณะที่ใช้ในการถ่ายทำได้ดังนี้
· 1. ELS หรือ Extreme Long Shot เป็นการถ่ายภาพระยะไกลที่สุด เช่นเห็นเมืองทั้งเมือง ผืนป่าทั้งป่า หรือทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเป็นช็อตที่มักพบมากในหนังประเภท Epic หรือหนังมหากาพย์ที่เล่าเรื่องราวใหญ่โต จึงมีฉากที่แสดงความอลังการ อย่างไรก็ตามในหนังเพื่อศิลปะหลายเรื่องการถ่ายภาพในระยะนี้ก็ใช้เพื่อวัตถุ ประสงค์อื่นๆ เช่น ความไม่แน่นอน น่าสงสัย ความโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา เช่นหนังของ มิเกลแองเจโล่ แอนโทนิโอนี่
· 2. LS หรือ Long Shot เป็นการถ่ายภาพระยะไกล พื้นที่ที่มากกว่าตัวละครทำให้เราใกล้ชิดกับฉากหรือทัศนียภาพมากกว่าความ รู้สึก ผลดังกล่าวทำให้ช็อตนี้มักใช้ในหนังเพื่อแสดงบรรยากาศเย็นชา หรือธรรมชาติที่ดูมีอิทธิพลเหนือผู้คน ในกรณีที่ใช้ถ่ายทำสถานที่เพื่อแนะนำเรื่องว่าเป็นฉากใด ซึ่งมักเป็นฉากเปิด งานทางด้านภาพยนตร์มักจะถ่ายฉากประเภทนี้เก็บไว้เพื่อความจำเป็นในการเล่า เรื่อง มักเรียกว่า Established Shot
· 3. MLS หรือ Medium Long Shot ช็อตที่อยู่ระหว่างระยะไกล และระยะ MS มักถ่ายเพื่อเปิดให้เห็นบุคคล กับวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป เช่น หมู่คณะหลายคน, ภาพคนกับพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิด ซึ่งก็ให้ความหมายของภาพต่างกัน
· 4. MS หรือ Medium Shot เป็นช็อตที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะใช้ในการดำเนินเรื่อง และสนทนา ภาพออกมาอยู่ในระดับที่สบายตา โดยธรรมชาติของช็อตแบบนี้ไม่เน้นอารมณ์ร่วมกับผู้ชม แต่เน้นให้เพื่อใช้สำหรับเล่าเรื่อง ฉากการสนทนา บ้างก็เรียกว่า Two Shot คือเป็นช็อตที่ถ่ายให้เห็นคนสองคนทั้งตัว ไปจนระดับลำตัวถึงหัว
· 5. MCU หรือ Medium Close Up กึ่งกลางระหว่าง MS กับ Close Up เป็นอีกหนึ่งช็อตที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในการถ่ายทำภาพยนตร์สำหรับผู้ชมวงกว้าง
· 6. CU หรือ Close Up ระยะใกล้ เป็นระยะที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกตัวละครเป็นหลัก ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า ดีใจ และใบหน้าของมนุษย์ยังแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย ช็อตนี้ตัวอย่างที่มักได้รับการกล่าวถึงบ่อยคือ City Light ของ ชาร์ลี แชปลิน ตลอดทั้งเรื่องเราเห็นอารมณ์ขันของเขาในระยะไกล หรือระยะกลางภาพ แต่เมื่อช่วงท้ายต้องการเร้าอารมณ์ตัวละครหลักได้ถูกจับภาพใบหน้าเป็นครั้ง แรก มันจึงส่งผลให้เราคล้อยตามได้
· 7. ECU หรือ Extreme Close Up ระยะใกล้มาก เป็นระยะภาพที่เน้นความรู้สึกในระดับที่สูงขึ้นกว่า CU เช่น ถ่ายภาพดวงตาในระยะประชิด หรืออวัยวะบางอย่างเพื่อแสดงอากัปกิริยาที่มีนัยยะต่างไปจากการแสดงออกอย่าง อื่น เพราะการส่งผลทางภาพที่ให้อารมณ์สุดโต่ง เราจึงมักเห็นช็อตนี้ในหนังสยองขวัญ หนังทดลอง หรือหนังทางด้านศิลปะบ่อยกว่าหนังสำหรับผู้ชมทั่วไป

ข้อดีของการบันทึกเป็นช็อต

ช็อตมุมกว้าง คือบอกให้รู้สถานที่ และให้ได้รู้ว่าเป็นงานอะไร สถานที่ที่ไหน หากว่าถ่ายเห็นป้ายของงงานเข้าไปด้วยยิ่งดี การถ่ายแบบนี้ดูเป็นเรื่องเป็นราว บอกเล่าเรื่องราวตามลำดับขั้น ว่ามีใครทำอะไรบ้างไม่ว่าจะเป็นงานพิธีหรือถ่ายกันเล่นๆ เพราะว่าภาพจะสลับมุมต่างๆมาให้ชมเป็นระยะทำให้ไม่น่าเบื่อ
ช็อตการแพน การยกกล้องขึ้นลงการซูม การเล่นมุมกล้องแบบต่างๆ หรือเล่นมุมกล้องเอียงก็ทำได้เช่นกัน แต่ว่าต้องเริ่มต้นด้วยหลักการถ่ายเป็นช็อตๆให้กระชับและไม่ยืดยาดจะทำให้คนดูไม่เบื่อ ที่มีแต่ภาพแข็งๆทื่อๆดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา

เทคนิคการเคลื่อนที่กล้องโดยไม่ให้สั่นไหว

“การไวด์” หรือ” Wide Shot” เป็นวิธีที่ช่วยอำพรางการสั่นไหวของกล้องได้ซึ่งแม้ว่ากล้องจะสั่น ภาพจะไหว แต่ก็ยังไม่เห็นความแตกต่างเพราะว่ามันมีภาพมุมกว้างที่หลอกตาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเดินถือกล้องถ่ายแบบนี้ละก็ จะต้องเลือกระยะกล้องที่ไกลสุด โดยการดึงภาพด้วยการซูมออกมา เรียกว่า”ลองช็อต“(Long Shot) เป็นประคองกล้องเดินช้าๆแบบนุ่มนวล โดยไม่ต้องซูมเข้าไปอีก ควรปล่อยให้เป็นภาพมุมกว้างเข้าไว้
การเดินก็สำคัญหากมัวแต่เดินจำพรวดทิ้งน้ำหนักตัวแบบเต็มที่แบบนี้ภาพที่ได้จะกระตุกเป็นจังหวะแน่ๆก็ขอแนะนำให้การเดินถ่ายกล้องนั้นต้องระวังทุกฝีเท้า การเดินด้วยปลายเท้า เกร็งและย่อขาเล็กน้อยจะช่วยให้กล้องนิ่งและมั่นคงขึ้น ช่วยให้เดินถ่ายวิดีโอได้อย่างมีคุณภาพ ภาพที่ได้จะนิ่งการถือกล้องแบบแบกบ่า บางครั้งอาจจะไม่ถนัดสำหรับเดินถ่ายเสมอไป สามารถแก้ไขด้วยการลดกล้องมาอยู่ในมือ ในอ้อมแขนนั้นจะเป็นการดี เพราะช่วยประคองกล้องได้อีกชั้นด้วยซ้ำไป แถมอาจจะได้มุมที่แปลกตาไปจากการแบกบนบ่า
การถ่ายให้กระชับ
การถ่ายให้กระชับ หมายความว่า การถ่ายวิดีโอที่พยายามให้ภาพนั้นสื่อความหมายในตัวเองมากที่สุด โดยสามารถเล่าเรื่องราวได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร นี่จะช่วยให้เราไม่ต้องเก็บภาพมามากมายและยืดยาว ก็สามารถเข้าใจได้ว่าในเหตุการณ์นั้นๆเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ระบบวีดีโอในปัจจุบัน

ระบบวีดีโอ มีความสัมพันธ์กับการนำไฟล์วีดีโอไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไฟล์วีดีโอนั้นต้องนำไปเปิดกับโทรทัศน์ หรือเครื่องเล่นอื่นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าของระบบในวีดีโอในขั้นตอนการตัดต่อด้วย ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้ระบบไม่เหมือนกัน คือ
- ระบบ PAL เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง แต่การเคลื่อนไหวไม่ค่อยราบรื่น โดยมีอัตราการแสดงภาพ (Frame Rate) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในหลายประเทศ โดยประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
- ระบบ NTSC เป็นระบบที่มีความคมชัดสู้ ระบบ PAL ไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวของภาพจะราบรื่นกว่าระบบPAL เพราะมีอัตราการแสดงภาพ( Frame Rate ) 29.79 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ที่ประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา
- ระบบ SECAM เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง การเคลื่อนไหวของภาพมีความราบรื่น มีอัตราการแสดงผล (Frame Rate ) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในแถบแอฟริกา

รู้จักกับฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอประเภทต่างๆ

- AVI เป็นไฟล์มาตรฐานทั่วไปของไฟล์วีดีโอ มีความคมชัดสูง แต่ข้อเสียคือมีขนาดใหญ่ สามารถนำไปทำเป็นวีซีดี หรือดีวีดี ก็ได้ โดยผ่านกระบวนการบีบอัดไฟล์ของโปรแกรมนั้นๆ เช่น Nero , NTI
- MPEG เป็นฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็ก และมีคุณภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปถึงอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้
- MPEG – 1 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำวีซีดี โดยมีขนาดที่เล็กมากที่สุด – MPEG – 2 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำดีวีดี โดยไฟล์มีขนาดใหญ่ (แต่ไม่เท่า AVI) แต่คุณภาพในการแสดงผลมีความคมชัดสูง – MPEG – 4 เป็นไฟล์ที่กำลังได้รับความนิยมมากชึ้น เนื่องจากมีคุณภาพในการแสดงผลใกล้เคียงกับดีวีดี แต่เป็นไฟล์ขนาดเล็ก นิยมนำไปใช้ในโทรศัพท์มือถือ , อินเตอร์เน็ต – WMV เป็นฟอร์แมตมาตรฐานของ Windows มีคุณภาพที่ดีฟอร์แมตหนึ่ง นิยมนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต – MOV เป็นฟอร์แมตของโปรแกรม Quick Time ที่ใช้กับเครื่อง Apple แต่สามารถเปิดในWindows ได้เช่นกัน – 3GP เป็นไฟล์ขนาดเล็ก นิยมใช้ในโทรศัพท์มือถือ

ที่มา : http://mis.kkw.ac.th/index.php/short-film/30-2014-05-16-07-17-56