วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)

         การหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มีขั้นตอนดังนี้

1.แยกงานสถานที่จากบทและรวมกลุ่มสถานที่ 
     การเริ่มหาสถานที่ให้นำบทมาอ่านแล้วลำดับรายชื่อสถานที่เกิดขึ้นในบท จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันโดยคำนึงถึงกลุ่มสถานที่ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวก เช่น ฉากทะเล ภูเขา หมู่บ้าน ชาวประมง ร้านอาหารริมทะเล หรือบ้านไม้ ซอยแคบ ถนนลูกรัง หรือโรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาเกต ร้านไอศกรีม ฯลฯ

2.ติดต่อสอบถาม 
     เมื่อได้รายชื่อสถานที่แล้ว ให้ติดต่อสอบถามแหล่งต่างๆ เช่น จากเพื่อน ผู้ช่วยผู้กำกับกองถ่ายอื่น เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตามสถานที่ต่างๆ ดูจากนิตยสารการท่องเที่ยว โปสการ์ด แผ่นพับ เพื่อให้ได้ข้อมูลขั้นต้น ไม่ใช่ออกหาสถานที่เลย เพราะจะประหยัดเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหารได้มาก

3.บริหารการเดินทาง 
     การออกหาสถานที่ถ่ายทำ หากเช่ารถแล้วควรเริ่มออกแต่เช้าตรู่ บุคคลที่ไปหาไม่ควรเกิน 2 คน คือ ฝ่ายธุรกิจหนึ่ง และผู้ช่วยฝ่ายศิลป์หนึ่ง ฝ่ายธุรกิจดูแลการจัดการ เช่น ระยะทาง ค่าเช่าที่พัก การติดต่อขออนุมัติ ส่วนฝ่ายศิลปะดูความสวยงามทางศิลปะที่สอดคล้องกับบท ใช้กล้องและฟิล์มราคาถูกถ่ายภาพมุมต่างๆ ที่เห็นเหมาะ บางสถานที่ขอภาพถ่ายที่เขามีอยู่แล้ว หรือขอแผ่นพับโฆษณาก็ได้ ในขณะเดียวกันร่างแผนที่และแผนผังพื้นที่มาด้วย

4.นำภาพถ่ายเข้าที่ประชุม นำภาพถ่ายแผ่นพับ แผนผัง และข้อมูลที่ได้มาเพื่อเข้าที่ประชุมและคัดเลือก

5.ดูสถานที่จริง
     เมื่อคัดเลือกสถานที่ขั้นต้นได้แล้ว ขั้นต่อไปผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ และผู้กำกับฝ่ายศิลป์ จะเดินทางไปดูสถานที่จริง จะเพิ่มเติมดัดแปลงอะไร จะวางกล้องตรงไหนจะได้ปรึกษากับตอนนี้ เบอร์โทรศัพท์ แผนที่ วันเวลาเปิดปิด เงื่อนไขการเข้าสถานที่ก็ยืนยันความแน่นอนตอนนี้

         ข้อควรคำนึงในการหาสถานที่ถ่ายทำ

     สถานที่ถ่ายทำที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ มีความเหมาะสมในแง่การจัดการ และมีคุณค่าทางศิลปะ ความเหมาะสมในการจัดการ ก็คือ

1.ใกล้ที่ทำงาน ถ้าเป็นได้สถานที่นั้นไม่ควรไกลจากที่ทำงาน เพื่อความสะดวกหากลืมสิ่งของที่จำเป็นจะประหยัดค่าเดินทาง

2.มีความหลากหลาย สถานที่นั้นหากไปที่เดียวแล้วถ่ายได้หลายฉาก จะเป็นสถานที่ถ่ายทำที่ดีมาก เราจะไม่ต้องเคลื่อนย้ายกองถ่ายบ่อยๆ เช่น ไปหมู่บ้านจัดสรรก็จะได้ร้านค้า บ้าน สวนสาธารณะ โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น สนามกอล์ฟ คลับ ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ ถนนในหมู่บ้าน ฯลฯ จะมีความสะดวกในการถ่ายทำ เวลาจะย้ายกองถ่ายก็ย้ายกองถ่ายใกล้ๆ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก

3.มีความสะดวกในการถ่ายทำ คือ มีโทรศัพท์ติดต่อ มีที่จอดรถสะดวก ห้องน้ำมีหลายห้อง มีพื้นที่ว่างสำหรับแต่งกายและแต่งหน้า มีความสูงของเพดานสำหรับติดตั้งดวงไฟ มีพื้นที่สำหรับเก็บพักอุปกรณ์ถ่ายทำ มีพื้นที่สำหรับจัดส่วนรับประทานอาหารของกองถ่าย ไม่มีเจ้าถิ่นที่คอยรบกวน

4.ราคาไม่แพง สถานที่ควรเก็บค่าเช่าไม่แพงนัก หากไม่เสียเลยได้ยิ่งดี เพียงแต่เสียค่าแม่บ้านทำความสะอาด หรือช่วยค่าน้ำค่าไฟบ้างเท่านั้น เช่น บ้านเพื่อน หน่วยราชการ สถานที่เพื่อการกุศล สถานที่ทำการบริการ หากแลกเปลี่ยนกับการขึ้นไตเติลให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย การหาสถานที่ที่ขายบริการ เช่น ร้านอาหาร ไนท์คลับ โรงแรม สวนสนุก ควรหาที่ที่เปิดกิจกรรมใหม่ๆ จะไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะกิจการเหล่านั้นจะอยู่ในช่วงประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย

5.ไม่มีสิ่งที่จะเสียหายง่าย ควรหาสถานที่ถ่ายทำที่จะเสี่ยงต่อการชดใช้ของเสียหายน้อยที่สุด เช่น สถานที่ที่มีของราคาแพง เช่น พรม เครื่องลายคราม เครื่องแก้ว ไม้ประดับราคาสูง เพราะหากหาย หรือเสียหายขึ้นมาจะยุ่งยากต่อการชดใช้

6.เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ ที่จะทำให้บันทึกเสียงไม่ได้ เช่น สถานที่มีเสียงเครื่องจักร เสียงอู่ซ่อมจักรยานยนต์ เสียงเด็กอ่อน บ้านที่เลี้ยงสุนัข ถนนที่มีรถเสียงดังวิ่งผ่าน โครงการก่อสร้าง ฯลฯ

7.มีความสะดวกในการจัดฉาก การจัดฉากภาพยนตร์ไม่เหมือนละครเวที มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีแล้วแต่สถานการณ์ บางครั้งต้องย้ายมุมกล้อง หรือผู้กำกับนึกภาพออกมาอย่างกระทันหัน สถานที่ที่ดีควรจะมีอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ที่จะหยิบยืม นำมาจัดฉากได้ง่าย เช่น โต๊ะ ต้นไม้ กระถาง รูปภาพ แจกัน เครื่องเรือนชุดสนามที่สามารถยกมาจัดแต่งเพิ่มเติมได้ทันที

           ความเหมาะสมในแง่ศิลปะ

1.ถูกต้องตามข้อเท็จจริง สถานที่นั้นจะต้องสมจริงตรงตามบท ไม่มีจุดอ่อนที่จะจับผิดได้สอดคล้องกับรูปแบบ และยุคสมัยตามท้องเรื่อง

2.ได้บรรยากาศและความรู้สึก สถานที่จะต้องมีบรรยากาศ มีโครงสีให้ความรู้สึกที่ดี เช่น ในบทบอกว่าชาวนากำลังมีความรัก ก็จะเป็นท้องนาเหลืองอร่าม น้ำเปี่ยมคลอง หรือในบทบอกว่านางเอกเดินเศร้าคิดถึงพระเอก ก็ควรจะเป็นฉากที่พื้นสีเทา (ลานดิน ลานซีเมนต์) มีเสาไฟฟ้าโดดเดี่ยว หรือมีต้นไม้แห้งใบโกร๋น หรือนางเอกอยู่ในภาวะอันตราย เช่น ทางเดินในซอกตึกแคบๆ ที่ผนังตึกบีบทำให้รู้สึกอึดอัด ดังนี้เป็นต้น โครงสีของสถานที่มีส่วนสร้างอารมณ์ความรู้สึกได้มาก สถานที่ที่มีโครงสีโทนใดโทนหนึ่ง เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบฉากก็จะต้องออกแบบสีให้มีศิลปะ เช่น นางเอกไปวัดผ่านทุ่งนาสีเขียวเหลือง เครื่องแต่งกายและร่ม อาจจะเป็นสีแดงสดใส เป็นต้น การออกแบบสีจะทำให้ภาพมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะโครงสีที่ให้อารมณ์เด่นชัด เช่น เทา ม่วง ให้อารมณ์เหงา , ชมพู เหลือง ฟ้า ให้อารมณ์สดใส

3.มีพื้นที่และหลืบสลับซับซ้อน สถานที่ถ่ายทำไม่ควรจะมีฉากหลังแบนที่ดูแล้วทึบตัน เช่น ถนน ตรอก ซอย ควรจะลึกสุดสายตา มุมตึกควรจะมีหลืบและซอกต่างๆ เพราะเมื่อจัดแสง ภาพจะเกิดน้ำหนักสวยงาม อีกทั้งระยะลึกจะทำให้เห็นมีสิ่งต่างๆ หลากหลาย เช่น ฉากตรอกซอยลึก เราจะได้ร้านค้า รถตุ๊กตุ๊ก กองขยะ ลังไม้ รถเข็น เด็กเล่นแบดมินตัน ซึ่งจะทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา

4.มีความหมายเชิงนัยนะ การหาสถานที่ถ่ายทำในบางครั้ง อาจจะหาสถานที่ที่มีความหมายเชิงนัยยะ หมายถึง สถานที่มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นนัยของความรู้สึก เช่น โบสถ์ที่มีเงาไม้กางเขนทาบลงบนพื้น แล้วเราใช้สถานที่นั้นในฉากที่ตัวละครตายแล้วมีเงาพาดผ่าน ทุ่งดอกไม้สีชมพู เมื่อพระเอกนางเอกพบรักกัน หรือหน้าผาสูงที่ตัวละครทะเลาะกัน จะเกิดความรู้สึกหมิ่นเหม่เหมือนจะตกหน้าผา ได้ความรู้สึกของความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง หรือฉากที่มีพื้นกระเบื้องยางตารางหมากรุกดำและขาวก็จะเป็นความรู้สึกขัดแย้งกัน หรือฉากเด็กเล็กที่กำลังจะถูกลักพาตัว แล้วถูกอุ้มวิ่งผ่านสวนกระบองเพชร จะทำให้ได้อารมณ์ความรู้สึกของสถานที่เหล่านี้อยู่ที่การตีความของผู้กำกับ ที่จะเลือกสถานที่ได้ความรู้สึกและความหมายทางศิลปะ

ที่มา : http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แนวคิดการสร้าง video

แนวคิดการสร้าง video
     ก่อนที่ลงมือสร้างผลงานวิดีโอสักเรื่อง จะต้องผ่านกระบวนการคิด วางแผนมาอย่างรอบครอบ ไม่ใช่ไปถ่ายวิดีโอแล้วก็นำมาตัดต่อเลย เพราะปัญหาที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือการที่ไม่ได้ภาพตามที่ต้องการ เนื้อหาที่ถ่ายมาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการนำเสนอ ในที่นี้ขอแนะนำแนวคิดในการทำงาน วิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการ โดยมีลำดับแนวคิดของงานสร้างวิดีโอเบื้องต้น ดังนี้

1. เขียน Storyboard

    สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้ก่อนสร้างงานวิดีโอ ก็คือ
การเขียน Storyboard คือ การจินตนาการฉากต่างๆ ก่อนที่จะถ่ายทำจริง เพียงเขียนวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไรหรืองานประเภทไหน เขียนออกมาเป็นฉาก เรียงลำดับ 1, 2, 3,.......


2. เตรียมองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้

    ในการทำงานวิดีโอ เราจะต้องเตรียมองค์ประกอบต่างๆ
ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์วิดีโอ ไฟล์ภาพนิ่ง ไฟล์เสียง หรือไฟล์ดนตรี

3. ตัดต่องานวิดีโอ

    การตัดต่อคือการนำองค์ประกอบต่างๆ ที่เตรียมไว้มาตัดต่อเป็นงานวิดีโอ งานวิดีโอจะออกมาดีน่าสนใจเพียงใดขึ้นอยู่กับการตัดต่อเป็นสำคัญ ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้การตัดต่อในบทต่อไปก่อน

4. ใส่เอ็ฟเฟ็กต์/ตัดต่อใส่เสียง

    ในขั้นตอนการตัดต่อ เราจะต้องตกแต่งงานวิดีโอด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสี การใส่ข้อความ หรือเสียงดนตรี ซึ่งจะช่วยให้งานของเรามีสีสัน และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น


5. แปลงวิดีโอ
 
     เพื่อนำไปใช้งานจริงขั้นตอนการแปลงวิดีโอเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในการทำงานวิดีโอที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้วนั้นไปใช้งาน โปรแกรม Ulead Video Studio สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ทำเป็น VCD, DVD หรือเป็นไฟล์ WMV สำหรับนำเสนอทางอินเทอร์เน็ต

ที่มา : https://sites.google.com/site/vdoclassroom/unit1/i1-2-naewkhid-kar-srang-widixo

คู่มือการใช้โปรแกรม IMOVIE

โปรแกรม IMOVIE

1. คลิกที่ icon iMovie เพื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา คลิกFile เลือก New project จากนั้นเลือกThemes ตั้งชื่อproject แล้วคลิก create

2. ทำการ import ไฟล์วิดีโอ โดยเลือกโฟลเดอร์ที่บันทึกวิดีโอไว้ แล้วกด import

3. จะปรากฎรายการวิดีโอคลิปต่างๆที่เราถ่ายไว้แล้ว ขึ้นมาให้เลือก โดยวิดีโอที่ถ่ายครั้งหลังสุดจะอยู่ด้านบนสุด

4.เมื่อชี้เมาส์ไปตามวิดีโอมันจะทำการรีวิววิดีโอไปที่จอเล็กด้านข้าง เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการวิดีโอไหนก็คลิกแล้วลากซึ่งจะปรากฏเป็นกรอบสีเหลือง จากนั้นคลิกลากไปไว้ที่ project Library

5.ทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อต้องการเพิ่มTitleให้คลิกที่ Titleแล้วลากมาวางทับวิดีโอนั้น แล้วไปพิมพ์ข้อความที่ต้องการที่รีวิววิดีโอ

6.เมื่อจะทำการบันทึก ให้คลิกที่ share => Export Movie => imovie

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=o6IpcUQBrl8
https://ikimboo.wordpress.com/imovie/

มือใหม่กับการถ่ายวีดีโอ ถ่ายให้เป็นทำอย่างไร?

มือใหม่กับการถ่ายวีดีโอ ถ่ายให้เป็นทำอย่างไร?


     การถ่ายวีดีโอเป็นทรัพยากรที่สำดัญที่สุดที่จะทำให้ผลงานดีที่สุด ปัจจัยอย่างอื่น มันเกี่ยวข้องน้อยที่สุด การที่ได้วีดีโอที่ดีมาแล้ว ถือว่าสำเร็จไปแล้ว 80%

การที่จะได้วีดีโอที่ดีมาได้ ลองนำเอาเทคนิคเหล่านี้ไปประกอบกับการถ่ายวีดีโอ

1. หลีกเลี่ยงการซูม เข้าและออกมากเกินไป

โดยปกติคนขายกล้องมักจะโฆษณาโอ้อวด กล้องวีดีโอของเขามีความสามารถสูงสามารถซูมได้หลายร้อยเท่ามากกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่นั่นมันไม่ได้เป็นปัจจัยที่ดีเลยเพราะว่า ถ้าคุณซูมมากกว่า 4X ก็เกิดอาการสั่น ภาพที่ได้ออกมาก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยกเว้นคุณจะใช้ขาตั้งกล้องควบคู่กับการซูม เมื่อเราหลงคารมคนขายก็ได้กล้องที่ความสามารถในการซูมสูง และพวกเราก็ใช้มันเสียเลย แบบว่าซูมเข้า ๆ ออก ๆ เป็นว่าเล่น พอทำเป็น CD หรือ DVD ออกมา ดูแล้วมึน เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงการใช้ซูมให้น้อยที่สุดและที่เท่าจำเป็น และถ้าจำเป็นต้องการใช้ซูมก็ขอให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ควรใช้ซูมระหว่างขณะที่เปลี่ยนฉาก ถ้าทำอย่างนี้ได้วีดีโอก็จะดูดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่ผมบางครั้งหลงลืมตัวใช้เหมือนกัน

2. จับกล้องให้นิ่งขณะถ่ายวีดีโอ

กล้องวีดีโอ ปัจจุบันนี้ตัวขนาดเล็ก และมีปัญหาแน่นอนกับอาการสั่น ไม่เหมือนกล้องรุ่นใหญ่ ๆ มีน้ำหนักมากต้องแบกใส่บ่า และนั่นแหละก็เป็นลดอาการสั่นได้ดี แต่ไม่มีคนอยากใช้เพราะพกพาลำบาก จึงต้องมาใช้กล้องวีดีโอขนาดเล็ก

ถึงแม้ว่าจะจับกล้องให้นิ่งแล้ว แต่อาการสั่นก็จะมีนิดหน่อย แต่เทคโลยีของกล้องก็สามารถชดเชยอาการสั่นได้เล็กน้อย วีดีโอที่ออกมาก็จะดูนิ่ง หรือถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อาศัยเทคนิคในการทำกล้องให้นิ่งอย่างอื่น เช่น ใช้ขาตั้งกล้อง (สามขา) เหมือนกับมืออาชีพเค้าใช้กัน (แบบนี้นายแบบ นางแบบตัวน้อยของพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่รอหรอกครับ วิ่งกันกระจัดกระจาย มีน้อยคนที่ใช้) หรือ ง่ายขึ้นมาอีกหน่อยก็ใช้ขาตั้งแบบขาเดียวตั้งบนพื้นแล้วก็จะกล้องให้นิ่ง แบบนี้ก็จะเกิดอาการเอียงเกิดขึ้นบ้างแต่ก็ลดอาการสั่นดีกว่าใช้มือจับ หรือยืนให้หลังพิงฝา หรือนั่งคลุกเข่า ถ้าจะให้ดี ถ่ายวีดีโอแบบไม่ใช้จอ LCD เอากล้องแนบกับลูกตาแล้วกดให้นิ่ง แบบนี้ก็ลำบากกับคนใส่แว่น เหมือนกัน

3. การถ่ายวีดีโอเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เป็นที่น่าสนใจ มีชีวิตชีวา

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราบันทึกไว้ในวีดีโอ เสมือนกับเราพาคนดูวีดีโอของเราไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ หลังจากนั้นก็ตัดเข้าไปหากลุ่มที่เราต้องการโฟกัส คนใดคนหนึ่งที่เป็นตัวหลัก และบันทึกวีดีโอเสมือนเราเอากล้องไปวางไว้บนหัวของคนนั้น ๆ ตัดไปตัดมา เช่น วันนี้พาลูกสาวตัวเล็ก ๆ เข้าไปชมพระบรมมหาราชวัง อันดับแรกก็ถ่าย ภาพวิวรวมทั้งหมดก่อน หลังจากนั้น ก็วิ่งไปดักหน้า แล้วก็ถ่ายเธอกำลังเดินเข้ามากับแม่ของเขา หลังจากเธอก็เดินผ่านไปแล้วก็มองเจดีย์สักอย่างหนึ่ง เราก็ถ่ายข้าง ๆ หรือด้านหลังว่าเธอกำลังมองเจดีย์ แล้วก็ตัดไปถ่ายเจดีย์นั้น ฉะนั้นคนที่ดูวีดีโอ ก็จะตื่นเต้นเหมือนกับเดินไปกับลูกสาวของเรา

4. การลำดับเรื่องจะจบ หรือการเริ่มต้น?


นี่เป็นเทคนิคการลำดับเรื่อง บางครั้งก็ออกอาการมึนเหมือนกันว่าจะเริ่มอย่างไร? และจะจบอย่างไร? ดูแล้วสนุกตื่นเต้น แบบนี้ก็สามารถลอกเลียนแบบภาพยนต์สักเรื่องหนึ่ง หรือสารคีใด ๆ สักเรื่อง เช่น เริ่มจากการเกริ่นจากในบ้านคุณแม่กำลังคุย + เปิดหนังสือท่องเที่ยวให้ลูกสาวดูที่ใดที่หนึ่งแล้วก็เล่าเรากำลังจะไป ตัดไปยังขณะขับรถเดินทาง ตัดไปยังแผนที่แล้วก็มีรถวิ่งจากบ้านไปที่ที่ต้องการจะไป แล้วก็ผ่านสิ่งต่าง ๆ ตามข้างทาง แล้วก็ถึงที่หมาย แล้วบันทึกกิจกรรมในวันนั้น ๆ และช่วงกลาง ๆ ของกิจกรรม บางครั้งก็อาจะตัดกลับไปในบ้านคุณแม่กำลังคุย + เปิดหนังสืออีกครั้งหนึ่งแทรกไปอยู่เป็นตอน ๆ สุดท้ายก็เดินทางกลับบ้านเหมือนกับการเดินทางไป และก็จบลงตรงที่แม่อ่านหนังสือจบและพูดคุยกับลูก เทคนิคเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการจินตนาการ+เทคนิคการตัดต่อด้วย และทำให้เกิดการเริ่มต้น และจบแบบสมบูรณ์

5. ทำให้สั้น และเข้าใจง่าย

ถ้าตั้งกล้องถ่ายวีดีโอที่มีความยาวมากกว่า 2 นาทีนั้น มันจะทำให้ผู้ดูเบื่อหรือก็หลับไปเลย การทำคลิปวีดีโอประกอบด้วยคลิปย่อยจำนวนมากมาย คลิปหนึ่ง ๆ มีความยาวประมาณ 5 ถึง 10 วินาที จะได้ผลมากกว่า ทำให้คนดูตื่นเต้นใจจดใจจ่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก พิธีการบางสิ่งบางอย่างก็เอาส่วนหัวส่วนท้ายก็พอ แล้วก็ตัดเอาช่วงกลางออกไปให้รู้ว่านี่เป็นพิธีการอะไรเท่านั้นก็พอ

6. เงา แสง มุมกล้อง

แสงธรรมชาติ มุมกล้องจะมีความสัมพันธ์กันได้ก็ยิ่งดี เพราะสถานที่ที่เราไปถ่ายต้องอาศัยแสงธรรมชาติเป็นหลัก ไม่สามารถจัดหาไฟสตูดิโอได้ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องหลีกเลี่ยงการถ่ายย้อนแสงแบบจัง ๆ เพราะจะทำให้คนที่ถูกถ่ายหน้าดำ แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องถ่ายย้อนแสง ก็อาจจะใช้ backlight ที่ติดมากับกล้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ลดอาการหน้าดำได้บ้าง หรือหันมุมกล้อง เพื่อให้เกิดแสงเงาแทนที่จะถ่ายคนตรง ๆ หรือสถานที่นั้นตรง ๆ นั่นก็จะได้มุมมองที่แปลก ๆ

7. การเปลี่ยนมุมมอง

ถ้าตั้งกล้องถ่ายวีดีโอมุมเดียวนั้นโอกาสที่ผู้ชมจะเบื่อมาก ๆ เพราะนั้นการเปลี่ยนมุมหลาย ๆ มุม (มุมบน มุมล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา) เหมือนกับใช้กล้องหลายตัวรุมจุดโฟกัสนั้น ๆ ตัดสลับไปมา บางที่ก็มีการถ่ายซ้ำและนำเอาไปตัดต่อเอา ก็จะทำให้เกิดการสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง โฟกัสสิ่งที่กำลังดำเนินไปอยู่

8. เรียนรู้จากภาพยนตร์

การเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ จากภาพยนต์ และจดจำ เช่น ถ้านั่งดูภาพยนต์ไป และลองเดาว่าจะเปลี่ยนฉากอย่างไร แสดงว่าคุณมองออก และสามารถดำเนินเรื่องการถ่ายวีดีโอของคุณแบบไม่ติดขัด และเก็บสิ่งแวดล้อม เก็บสถานการณ์ ได้ทั้งหมด หลังจากนั้นก็เอามาตัดต่อและเรียงลำดับใหม่ในคอมพิวเตอร์ เล่าเป็นเรื่องราวได้อย่างสนุก

9. การเตรียมแบตเตอรี่ให้เพียงพอ
ถ้าแบตเตอรี่หมดขณะการถ่ายทำ ทุกอย่างก็จบ ฉะนั้นก็ต้องเตรียมแบตเตอรี่ลูกใหญ่ขึ้น หรือพกสายยาว ๆ เสียบปลั๊กเอาก็ได้ เพื่อเหตุการณ์ดำเนินการไปด้วยดีก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการเตรียมแบตเตอรี่ลูกใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ

10. ระบบเสียง

ถ้าทำได้ก็ยิ่งดี หมายถึง ทุกอย่างพร้อมและเตรียมมาดีก็จะให้การถ่ายทำวีดีโอสมบูรณ์ขึ้น แต่โฮมวีดีโอ มันเอาแน่นอนไม่ได้ไม่มีบทไม่มีสคริป ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ บางทีก็อาศัยการตัดต่อเอาส่วนที่ไม่ต้องการออกไป หรือค่อยมาเสริมด้วยบทพากษ์ใหม่แทรกเข้าไปหรือเพิ่มบทเพลง เพื่อที่จะกลบเกลื่อน

เทคนิควิธีการสร้างหนังสั้นง่ายๆ


เทคนิควิธีการสร้างหนังสั้นง่ายๆ
ขั้นแรก หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ การตัดต่อ การประเมินผล
ขั้นสอง หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึงผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิร์ค
ขั้นสาม เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ
ขั้นสี่ บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา เรื่องบทจะมี หลายแบบ
- บทแบบสมบูรณ์ เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูด
- บทแบบอย่างย่อ เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง
- บทแบบเฉพาะ
- บทแบบร่างกำหนด
ขั้นห้า การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบ เยอะมาก มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้ เป็นต้น
ขั้นหก ค้นหามุมกล้อง
- มุมคนดู เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ
- มุมแทนสายตา
- มุม point of view มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆ สวยมากในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ
ขั้นเจ็ด การเคลื่อนไหวของกล้อง
- การแพน การทิลท์ การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันธ์กัน
- การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหว
- การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง
ขั้นแปด เทคนิคการถ่าย
จับกล้องให้มั่น จับแบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลย และไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็ว กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอ
ขั้นเก้า หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟคต์ ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่องตัวอักษรหนังสือ
ขั้นสิบ การตัดต่อ
1.จัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้ง
2. จัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่วางไว้
3. แก้ไขข้อบกพร่อง
4. เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม
5. ควบคุมเรื่องเสียง

ขั้นตอนการตัดต่อและเชื่อมฉากมีอะไรบ้าง

- การตัด cut
- การเฟด fade
- การทำภาพจางซ้อน
- การกวาดภาพ
- ซ้อนภาพ
- ภาพมองทาจ


ที่มา : https://sites.google.com/site/khtpshortfilm/

เทคนิคมุมกล้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์

เทคนิคมุมกล้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์

เทคนิคมุมกล้อง

การถ่ายภาพในมุมที่ต่างกัน ยังมีผลต่อความคิดความรู้สึกที่จะสื่อความหมายไปยังผู้ดูได้ เราอาจแบ่งมุมกล้องได้เป็น 3 ระดับ คือ
· ภาพระดับสายตา คือ การถ่ายภาพในตำแหน่งที่อยู่ในระดับสายตาปรกติที่เรามองเห็น ขนานกับพื้นดิน ภาพที่จะได้จะให้ความรู้สึกเป็นปรกติธรรมดา
· ภาพมุมต่ำ การถ่ายภาพในมุมต่ำ คือ การถ่ายในต่ำแหน่งที่ต่ำกว่าวัตถุ จะให้ความรู้สึกถึงความสูงใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง แสดงถึงความสง่า
· การถ่ายภาพมุมสูง คือ การตั้งกล้องถ่ายในต่ำแหน่งที่สูงกว่าวัตถุ ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกถึงความเล็กความต้อยต่ำ ไม่มีความสำคัญ

เทคนิคการซูมและการโพกัส


1.ในขณะที่ซูมไม่ควรเดินหรือเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้วีดีโอที่ได้มีโอกาสสั่นไหวสูง
2.หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยขณะซูม ขอแนะนำให้ดึงซูมออกมาให้สุดก่อน แล้วค่อยกดปุ่มบันทึก จากนั้นให้เดินเข้าไปแทนการซูมเลนส์
3.อย่าสนุกกับการซูมจนมากเกินไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่เพิ่มเริ่มเล่นกล้องมักจะชอบดึงซูมเข้า/ออก ทำให้ภาพที่ได้น่ามึนหัว เหมือนกำลังกระแทรกกำแพงโป๊กๆที่จริงแล้วการซูมจะทำเมื่อต้องการดูรายละเอียดของเหตุการณ์ เพื่อบ่งบอกเรื่องราว หรือซูมออกเพื่อแสดงภาพรวมของเหตุการณ์นั้นๆ พูดง่ายๆ จะซูมก็ควรมีเหตุมีผลมีเรื่องราวที่จะเล่าจากการซูมจริงๆ
4.ควรหยุดซูมเสียก่อนค่อยเคลื่อนไหวกล้อง หรือซูมก่อนบันทึกภาพ จุดนี้จะช่วยให้วีดีโอที่ได้น่าสนใจมากขึ้น เช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในท้องทะเล อาจจะตั้งกล้องซูมเข้าไปที่เรือจากนั้นกดปุ่มบันทึก แล้วค่อยๆซูมออกมาให้เห็นท้องทะเล

การแพนกล้อง


การแพนกล้องที่ดีต้องมีจังหวะที่จะแพน คือต้องมีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของการแพน จุดนี้เองคนที่อยู่เบื้องหลังคอยตัดต่อภาพทั้งหลายมันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะตัดต่อภาพ โดยมีภาพทีแกว่งไปแกว่งมา หรือวูบวามไปมา เมื่อนำมาร้อยใส่ภาพนิ่งๆจะรู้สึกได้เลยว่าไม่เข้ากัน พลอยทำให้ดูไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ไม่นิ่มนวลสมจริง บางครั้งรู้สึกว่าโดดไปโดดมา หากจะให้ตัดต่อได้สะดวกและภาพสมบูรณ์ การแพนจะต้องมีจุดเริ่ม คือเริ่มจากถือกล้องให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นกดปุ่มบันทึกภาพแล้วค่อยแพน และจุดจบ คือนิ่งทิ้งท้ายตอนจบอีกเล็กน้อย เพื่อบอกคนดูให้เตรียมพร้อมและพักสายตาระหว่างชมภาพ

การบันทึกเป็นช็อต

“ช็อต” คือการเริ่มบันทึก เพื่อเริ่มเทปเดินและเริ่มบันทึกลงม้วนเทป จนกระทั่งกดปุ่ม Rec อีกครั้ง เพื่อเลิกการบันทึก แบบนี้เค้าเรียกว่า 1 ช็อต การถ่ายเป็นช็อคไม่ควรปล่อยให้ช็อตไม่ควรปล่อยให้ช็อตนั้นยืดยาวไปนัก คือไม่ควรเกิน 5วินาทีต่อ 1 ช็อต

วิธีการบันทึกเป็นช็อต

การถ่ายเป็นช็อตนี้ จะต้องเลือกมุม เลือกระยะที่จะถ่ายก่อน เลือกว่าจะถ่ายแบบไหนที่จะได้องค์ประกอบครบถ้วน ยกกล้องขึ้นส่อง จัดองค์ประกอบ แล้วถือให้นิ่ง กดบันทึก นับ 1-2-3-4-5 แล้วกดหยุด ในระหว่างกดบันทึกห้ามสั่น ห้ามไหวเด็ดขาด วิธีการไม่ยากนัก โดยให้รอจังหวะ หลักการง่ายๆคือนิ่งๆเข้าไว้ และไม่จำเป็นต้องถ่ายทั้งหมดหรือถ่ายยืดยาว เลือกแค่เป็นช็อตสำคัญก็พอ

รูปแบบการบันทึกเป็นช็อต

Shot ในความหมายของระยะการถ่ายทำภาพยนตร์อาจแบ่งจากลักษณะที่ใช้ในการถ่ายทำได้ดังนี้
· 1. ELS หรือ Extreme Long Shot เป็นการถ่ายภาพระยะไกลที่สุด เช่นเห็นเมืองทั้งเมือง ผืนป่าทั้งป่า หรือทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเป็นช็อตที่มักพบมากในหนังประเภท Epic หรือหนังมหากาพย์ที่เล่าเรื่องราวใหญ่โต จึงมีฉากที่แสดงความอลังการ อย่างไรก็ตามในหนังเพื่อศิลปะหลายเรื่องการถ่ายภาพในระยะนี้ก็ใช้เพื่อวัตถุ ประสงค์อื่นๆ เช่น ความไม่แน่นอน น่าสงสัย ความโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา เช่นหนังของ มิเกลแองเจโล่ แอนโทนิโอนี่
· 2. LS หรือ Long Shot เป็นการถ่ายภาพระยะไกล พื้นที่ที่มากกว่าตัวละครทำให้เราใกล้ชิดกับฉากหรือทัศนียภาพมากกว่าความ รู้สึก ผลดังกล่าวทำให้ช็อตนี้มักใช้ในหนังเพื่อแสดงบรรยากาศเย็นชา หรือธรรมชาติที่ดูมีอิทธิพลเหนือผู้คน ในกรณีที่ใช้ถ่ายทำสถานที่เพื่อแนะนำเรื่องว่าเป็นฉากใด ซึ่งมักเป็นฉากเปิด งานทางด้านภาพยนตร์มักจะถ่ายฉากประเภทนี้เก็บไว้เพื่อความจำเป็นในการเล่า เรื่อง มักเรียกว่า Established Shot
· 3. MLS หรือ Medium Long Shot ช็อตที่อยู่ระหว่างระยะไกล และระยะ MS มักถ่ายเพื่อเปิดให้เห็นบุคคล กับวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป เช่น หมู่คณะหลายคน, ภาพคนกับพื้นที่ปิด หรือพื้นที่เปิด ซึ่งก็ให้ความหมายของภาพต่างกัน
· 4. MS หรือ Medium Shot เป็นช็อตที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะใช้ในการดำเนินเรื่อง และสนทนา ภาพออกมาอยู่ในระดับที่สบายตา โดยธรรมชาติของช็อตแบบนี้ไม่เน้นอารมณ์ร่วมกับผู้ชม แต่เน้นให้เพื่อใช้สำหรับเล่าเรื่อง ฉากการสนทนา บ้างก็เรียกว่า Two Shot คือเป็นช็อตที่ถ่ายให้เห็นคนสองคนทั้งตัว ไปจนระดับลำตัวถึงหัว
· 5. MCU หรือ Medium Close Up กึ่งกลางระหว่าง MS กับ Close Up เป็นอีกหนึ่งช็อตที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในการถ่ายทำภาพยนตร์สำหรับผู้ชมวงกว้าง
· 6. CU หรือ Close Up ระยะใกล้ เป็นระยะที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกตัวละครเป็นหลัก ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า ดีใจ และใบหน้าของมนุษย์ยังแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย ช็อตนี้ตัวอย่างที่มักได้รับการกล่าวถึงบ่อยคือ City Light ของ ชาร์ลี แชปลิน ตลอดทั้งเรื่องเราเห็นอารมณ์ขันของเขาในระยะไกล หรือระยะกลางภาพ แต่เมื่อช่วงท้ายต้องการเร้าอารมณ์ตัวละครหลักได้ถูกจับภาพใบหน้าเป็นครั้ง แรก มันจึงส่งผลให้เราคล้อยตามได้
· 7. ECU หรือ Extreme Close Up ระยะใกล้มาก เป็นระยะภาพที่เน้นความรู้สึกในระดับที่สูงขึ้นกว่า CU เช่น ถ่ายภาพดวงตาในระยะประชิด หรืออวัยวะบางอย่างเพื่อแสดงอากัปกิริยาที่มีนัยยะต่างไปจากการแสดงออกอย่าง อื่น เพราะการส่งผลทางภาพที่ให้อารมณ์สุดโต่ง เราจึงมักเห็นช็อตนี้ในหนังสยองขวัญ หนังทดลอง หรือหนังทางด้านศิลปะบ่อยกว่าหนังสำหรับผู้ชมทั่วไป

ข้อดีของการบันทึกเป็นช็อต

ช็อตมุมกว้าง คือบอกให้รู้สถานที่ และให้ได้รู้ว่าเป็นงานอะไร สถานที่ที่ไหน หากว่าถ่ายเห็นป้ายของงงานเข้าไปด้วยยิ่งดี การถ่ายแบบนี้ดูเป็นเรื่องเป็นราว บอกเล่าเรื่องราวตามลำดับขั้น ว่ามีใครทำอะไรบ้างไม่ว่าจะเป็นงานพิธีหรือถ่ายกันเล่นๆ เพราะว่าภาพจะสลับมุมต่างๆมาให้ชมเป็นระยะทำให้ไม่น่าเบื่อ
ช็อตการแพน การยกกล้องขึ้นลงการซูม การเล่นมุมกล้องแบบต่างๆ หรือเล่นมุมกล้องเอียงก็ทำได้เช่นกัน แต่ว่าต้องเริ่มต้นด้วยหลักการถ่ายเป็นช็อตๆให้กระชับและไม่ยืดยาดจะทำให้คนดูไม่เบื่อ ที่มีแต่ภาพแข็งๆทื่อๆดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา

เทคนิคการเคลื่อนที่กล้องโดยไม่ให้สั่นไหว

“การไวด์” หรือ” Wide Shot” เป็นวิธีที่ช่วยอำพรางการสั่นไหวของกล้องได้ซึ่งแม้ว่ากล้องจะสั่น ภาพจะไหว แต่ก็ยังไม่เห็นความแตกต่างเพราะว่ามันมีภาพมุมกว้างที่หลอกตาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเดินถือกล้องถ่ายแบบนี้ละก็ จะต้องเลือกระยะกล้องที่ไกลสุด โดยการดึงภาพด้วยการซูมออกมา เรียกว่า”ลองช็อต“(Long Shot) เป็นประคองกล้องเดินช้าๆแบบนุ่มนวล โดยไม่ต้องซูมเข้าไปอีก ควรปล่อยให้เป็นภาพมุมกว้างเข้าไว้
การเดินก็สำคัญหากมัวแต่เดินจำพรวดทิ้งน้ำหนักตัวแบบเต็มที่แบบนี้ภาพที่ได้จะกระตุกเป็นจังหวะแน่ๆก็ขอแนะนำให้การเดินถ่ายกล้องนั้นต้องระวังทุกฝีเท้า การเดินด้วยปลายเท้า เกร็งและย่อขาเล็กน้อยจะช่วยให้กล้องนิ่งและมั่นคงขึ้น ช่วยให้เดินถ่ายวิดีโอได้อย่างมีคุณภาพ ภาพที่ได้จะนิ่งการถือกล้องแบบแบกบ่า บางครั้งอาจจะไม่ถนัดสำหรับเดินถ่ายเสมอไป สามารถแก้ไขด้วยการลดกล้องมาอยู่ในมือ ในอ้อมแขนนั้นจะเป็นการดี เพราะช่วยประคองกล้องได้อีกชั้นด้วยซ้ำไป แถมอาจจะได้มุมที่แปลกตาไปจากการแบกบนบ่า
การถ่ายให้กระชับ
การถ่ายให้กระชับ หมายความว่า การถ่ายวิดีโอที่พยายามให้ภาพนั้นสื่อความหมายในตัวเองมากที่สุด โดยสามารถเล่าเรื่องราวได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร นี่จะช่วยให้เราไม่ต้องเก็บภาพมามากมายและยืดยาว ก็สามารถเข้าใจได้ว่าในเหตุการณ์นั้นๆเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ระบบวีดีโอในปัจจุบัน

ระบบวีดีโอ มีความสัมพันธ์กับการนำไฟล์วีดีโอไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไฟล์วีดีโอนั้นต้องนำไปเปิดกับโทรทัศน์ หรือเครื่องเล่นอื่นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าของระบบในวีดีโอในขั้นตอนการตัดต่อด้วย ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้ระบบไม่เหมือนกัน คือ
- ระบบ PAL เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง แต่การเคลื่อนไหวไม่ค่อยราบรื่น โดยมีอัตราการแสดงภาพ (Frame Rate) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในหลายประเทศ โดยประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
- ระบบ NTSC เป็นระบบที่มีความคมชัดสู้ ระบบ PAL ไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวของภาพจะราบรื่นกว่าระบบPAL เพราะมีอัตราการแสดงภาพ( Frame Rate ) 29.79 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ที่ประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา
- ระบบ SECAM เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง การเคลื่อนไหวของภาพมีความราบรื่น มีอัตราการแสดงผล (Frame Rate ) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในแถบแอฟริกา

รู้จักกับฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอประเภทต่างๆ

- AVI เป็นไฟล์มาตรฐานทั่วไปของไฟล์วีดีโอ มีความคมชัดสูง แต่ข้อเสียคือมีขนาดใหญ่ สามารถนำไปทำเป็นวีซีดี หรือดีวีดี ก็ได้ โดยผ่านกระบวนการบีบอัดไฟล์ของโปรแกรมนั้นๆ เช่น Nero , NTI
- MPEG เป็นฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็ก และมีคุณภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปถึงอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้
- MPEG – 1 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำวีซีดี โดยมีขนาดที่เล็กมากที่สุด – MPEG – 2 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำดีวีดี โดยไฟล์มีขนาดใหญ่ (แต่ไม่เท่า AVI) แต่คุณภาพในการแสดงผลมีความคมชัดสูง – MPEG – 4 เป็นไฟล์ที่กำลังได้รับความนิยมมากชึ้น เนื่องจากมีคุณภาพในการแสดงผลใกล้เคียงกับดีวีดี แต่เป็นไฟล์ขนาดเล็ก นิยมนำไปใช้ในโทรศัพท์มือถือ , อินเตอร์เน็ต – WMV เป็นฟอร์แมตมาตรฐานของ Windows มีคุณภาพที่ดีฟอร์แมตหนึ่ง นิยมนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต – MOV เป็นฟอร์แมตของโปรแกรม Quick Time ที่ใช้กับเครื่อง Apple แต่สามารถเปิดในWindows ได้เช่นกัน – 3GP เป็นไฟล์ขนาดเล็ก นิยมใช้ในโทรศัพท์มือถือ

ที่มา : http://mis.kkw.ac.th/index.php/short-film/30-2014-05-16-07-17-56

การเขียนบทหนังสั้น

การเขียนบทหนังสั้น

     การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราว หรือ บางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ

ขั้นตอนการเขียนบทหนังสั้น

1. Research
2. Theme
3. Plot
4. Synopsis
5. Treatment
6. Scenario
7. Paradigm
8. Screenplay
9. Shooting script
10. Storyboard

Research


     ต้องยอมรับว่า คนทำหนังสั้น ส่วนใหญ่จะละเลยในขั้นตอนนี้ ซึ่งที่จริงแล้วการresearchเป็นสิ่งสำคัญนะ บางคนอาจจะไม่รู้วิธีการหรือไม่รู้foramttก็ไม่ว่ากัน เลยอยากจะคุยกัยในวิธีการคร่าวๆ ของขั้นตอนนี้ หนังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เราเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง? นั่นแหละคือสิ่งที่ตัวละครเกี่ยวข้อง เราอาจจะต้องมีตัวละครในใจแล้วสักคนหนึ่ง การresearchเป็นการหารายละเอียดของตัวละครมาหาใส่ ที่จริงการresearchไม่มีformatt จุดประสงค์คือเก็บเกี่ยวข้อมูลของตัวละครให้ได้มากที่สุด สร้างเป็นประวัติของตัวละคร อะไรบ้างลองมาดูกัน
1.ชื่อ เช่น ชื่อชาวมุสลิม ฉายาของพระสงฆ์ ชื่อตัวละครเชื้อชาติอื่น(มีหนังไทยอยู่เรื่องหนึ่ง ตั้งชื่อดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสด้วยภาษาอิตาลี) ถ้าเราไม่รีเสิรช อาจจะทำให้ใช้ภาษาผิด
2.อายุ อายุของตัวละครทำให้เรารู้ว่าตัวละครนั้นผ่านยุคสมัยอะไรมาบ้าง เคยผ่านสถานการณ์บ้านเมืองอะไรมา ผู้ใหญ่บางคนพูดว่ายี่เก ม.ศ.5 ในขณะที่เด็กสมัยเรียกว่า ช่วงชั้นที่4ปีที่2
3.ภูมิลำเนาวิถีชีวิตของคนแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน คำศัพท์บางคำก็ต่างกัน สำเนียงก็ต่างกัน ทัศนคติต่อสังคมก็ไม่เหมือนกัน ตัวละครบางตัวเกิดปมขัดแย้งในเรื่องการเป็นคนแปลกถิ่น ธรรมเนียมหรือกฎหมายของแต่ละประเทศก็ต่างกัน
4.ระดับการศึกษาจะมีผลต่อวุฒิภาวะของตัวละคร ภาษาที่ใช้ มุมมองต่อสังคม การควบคุมอารมณ์
5.อาชีพเป็นปัจจัยที่สร้างตัวตนของตัวละครที่ชัดเจนมากอย่างหนึ่ง ศัพท์ในอาชีพ ตำรวจก็มีวิธีการพูดแบบตำรวจแม้แต่ในคำพูดนอกเหนือจากการปฏิบัติงาน ครูสอนภาษาอังกฤษก็จะมีรูปแบบการใช้ประโยคที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ กิริยาท่าทางศิลปินแกะสลัก ก็ปอกผลไม้ไม่เหมือนคนทั่วไป คนเล่นโขนก็มีท่วงท่าการเดิน-วิ่งที่สง่างาม รูปพรรณสัณฐานบางอาชีพทำให้ร่างกายมีเอกลักษณ์ เช่น นักมวย ทหาร กรรมกรกลางแจ้ง แม่ครัวที่อยู่หน้าเตา เอกลักษณ์ที่เกิดจากการประกอบอาชีพนี้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ที่ทำให้นักแสดงกลายเป็นตัวละครของเรามากขึ้น
6.ฐานะการเงินเป็นพื้นฐานชีวิตของตัวละครเลยก็ว่าได้ เพราะมันส่งผลไปถึงรายละเอียดต่างๆของตัวละคร เช่น สภาพที่อยู่อาศัย พฤติกรรมการบริโภค เสื้อผ้า อาหาร ยี่ห้อของข้าวของเครื่องใช้ วิธีการเดินทาง รวมไปถึงความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบางอย่าง
7.กลุ่มทางสังคมเช่นแก๊งส์มอเตอร์ไซค์ แก๊งส์รถแต่ง เด็กแนว ฯ บางกลุ่มมีภาษาเฉพาะ เช่นกระเทย เดื๋อย หมายถึง เพื่อนรัก เพื่อนสนิท เรียกแทนชื่อเพื่อน ไปไหนมาเดื๋อย รอนานแล้วนะเดื๋อย หรือเบเกอรี่ มีความหมายเดียวกับคำว่า ปาดหน้าเค้ก ตั้งหม้อ ลูกชุบ หมายถึง การแย่งชิงสิ่งของ หรือ บุคคลอันเป็นที่หมายปองของเราไป เช่น ดูนังแอนสิยะ พอเห็นผู้ชายหล่อมา นางก้อเบเกอรี่สุดฤทธิ์ เป็นต้น วัยรุ่น(บางกลุ่ม)เฮ้อ…วันนี้อารมณ์แฟ๊งค์สุดๆ เลยออกไปเดินเล่นชิวชิวข้างนอก
8.ตัวละครพิเศษ เช่น คนบ้า คนวิกลจิต คนป่วย ต้องรีเสิรชว่าเป็นประเภทไหน มีอาการอย่างไร หรือ ภาษามือ ภาษาเขียนของคนหูหนวกเป็นใบ้ ก็มีรูปแบบเฉพาะ
9.ความต้องการในชีวิต คนทุกคนมีความต้องการในชีวิต เราอาจจะออกแบบความต้องการของตัวละครได้ แต่การรีเสิรชจะทำให้เรารู้ว่าเหตุผลที่เราคิดขึ้นนั้นสอดคล้องกับความเป็นจริงเพียงใด วิธีการที่ตัวละครปฏิบัติให้ได้มาซึ่งเป้าหมายนั้นก็ต่างกันไป ยิ่งตัวละครไกลจากเราเท่าไหร่ยิ่งจำเป็นต้องรีเสิรช เช่น วิธีแก้ปัญหาของเด็ก การยอมรับความสูญเสียคนรักของพยาบาล ที่กล่าวมาอาจจะเป็นแค่ประวัติตัวละครกว้างๆ ที่จะนำไปสนับสนุนพฤติกรรมต่างๆของตัวละครเมื่อมีสถานการณ์ต่างๆเข้ามา แต่ตัวละครของหนังแต่ละเรื่องก็จะมีบุคลิกภาพเฉพาะ และสถานการณ์แตกต่างออกไป จึงควรมีการรีเสิรชตัวละครกับสถานการณ์ตามที่ออกแบบด้วย วิธีรีเสิรชที่ดีที่สุดคือการรีเสิรชจากบุคลที่ใกล้เคียงกับตัวละครของเราที่สุด และลองตั้งคำถามกับเขาว่าถ้าต้องเจอกับสถานการณ์ตามที่เราออกแบบ จะมีมุมมองหรือวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

Theme

     แปลได้ว่า แก่น ใจความสำคัญ แนวคิดหลัก สาร ประเด็น ฯ หนังสั้นที่ได้ผลดี ควรจะมีthemeเพียงหนึ่งเดียว คือมีประเด็นหลักที่ต้องการจะสื่อสารเพียงหนึ่งสิ่ง เพราะเวลาที่สั้นทำให้ไม่สามารถเล่าประเด็นหลายๆประเด็นได้อย่างสมบูรณ์
     การเขียนtheme ไม่ได้ต้องใช้คำสวยหรู ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจยาก ไม่ต้องเป็นปรัชญา ไม่จำเป็นต้องเป็นแนวคิดสากล เป็นความแนวคิดส่วนตัวก็ได้ เพียงแต่เราต้องมีความเชื่อในแนวคิดหรือthemeนั้นๆ และมีมุมมองที่จะนำเสนอ เหมือนกับการที่เราจะโน้มน้าวใจเรื่องอะไรสักเรื่องกับใครสักคน ถ้าเราไม่เชื่อในแนวคิดนั้นแล้ว มุมมองที่จะใช้ถ่ายทอด ชักจูง ต่อต้านฯ ก็จะไม่แม่น
     รูปแบบหรือformattของtheme มักจะเป็นประโยคสั้นๆ ที่มีความชัดเจน themeเป็นประเด็นหรือแนวคิดสำคัญที่คนเขียนบทต้องการจะบอก โดยหาสถานการณ์ต่างๆมารองthemeนั้น บางคนก็เอามาจากสำนวน สุภาษิต คำพังเพย เช่น กล้านักมักบิ่น ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก ปล่อยเสือเข้าป่า
     จากคำคม เช่น “Praise the bridge that carried you over.” – George Colman – จงขอบคุณสะพานที่ให้คุณเดินข้ามมา “Well done is better than well said.” – Ben Franklin- การลงมือทำดีกว่าคำพูดที่สวยหรู
      หรือthemeของบางคน ไม่ได้เป็นสำนวนเปรียบเทียบ หรือปรัชญาอะไรเลย เพียงแต่ชัดเจนในเรื่องที่จะเล่า เช่น เล่นดนตรีทำให้ลืมความทุกข์ หลังคารั่วก็ไปอุดรูหลังคา ไม่ใช่เอากะละมังมารองน้ำฝน
     ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนหน่อยในเรื่องthemeคือ ภาพยนตร์โฆษณา และมิวสิควิดีโอ จะมีรูปแบบการนำเสนอใกล้เคียงกับหนังสั้น หนังโฆษณานี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย เพราะหนังโฆษณาแต่ละเรื่องจะมีthemeที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับแผนการตลาดของสินค้าด้วย เช่น ชีวิตมีเรื่องดีดีตั้งเยอะ!! อย่างMVก็จะมีเนื้อหาของเพลงเป็นแนวทางอยู่แล้ว ซึ่งเพลงหนึ่งเพลงก็มักจะมีแนวคิดสำคัญเพียงอันเดียว ในภาพยนตร์ขนาดยาวก็ต้องมีประเด็นที่เป็นthemeหลัก(ประเด็นอื่นๆอาจจะป็นsubtheme) เช่น เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ (15ค่ำ เดือน11) พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่(Spiderman)

Plot


     การเขียนพล็อตก็เหมือนกัน มันเปรียบเสมือนการทำแผนที่ แผนผัง การทำพล็อตหนังสั้น ผมแนะนำให้พล็อตไว้ 3 จุด คือ
1.จุดเริ่มต้น
2.จุดหักเห
3.จุดจบ จุดเริ่มต้น อย่างน้อยควรรู้ว่าตัวละครคือใคร สถานการณ์ทั่วไปเป็นอย่างไร จุดหักเห คือสถานการณ์ที่ตัวละครนั้นเจอ ในหนังสั้นมักจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนนัก เป็นปัญหาที่ชัดเจนที่สุดของตัวละคร จุดจบ คือสถานการณ์ที่เป็นจุดเข้มข้นสุดของเรื่อง ก่อนที่จะคลี่คลายหรือจบลง

Synopsis


n. สรุป, สรุปความ, ข้อใหญ่ใจความ, สาระสำคัญ
     ในทางการเขียนบท เรามักเรียกSynopsisว่า เรื่องย่อ รูปแบบการเขียนsynopsisของหนังสั้น มักจะเป็นความเรียง เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบอย่างย่อ มีความยาวประมาณ5-6บรรทัด เล่าตัวละครและเหตุการณ์เพื่อสรุปว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ฯ ด้วยมุมObjectiveของคนเขียนบทเอง คล้ายๆกับการเขียนเรื่องย่อบนปกหลังกล่องVCD แต่อย่างที่บอก ไม่ต้องกั๊กตอนจบ ในขั้นนี้แนะนำให้เขียนเรื่องให้ได้3ย่อหน้า (เหมือนเขียนเรียงความ มีคำนำ เนื้อเรื่อง สรุป)โดยยึดจากหลักจากการเขียนplot อาจจะเป็นย่อหน้าของจุดเริ่มต้น2บรรทัด ย่อหน้าของจุดหักเห3บรรทัด และย่อหน้าของจุดจบ1บรรทัด

Treatment

n. การรักษา, การเยียวยา, การปฏิบัติต่อ, การกระทำต่อ, วิธีการทางวรรณกรรม
     treatment ในการเขียนบท หมายถึงโครงเรื่องขยาย คือมีการเขียนคำอธิบายขยายเนื้อเรื่องชัดเจนมากขึ้น เหมือนรูปแบบของนวนิยายหรือเรื่องสั้น มีการบรรยายรายละเอียดต่างๆที่จำเป็นต่อการเล่าเรื่อง เช่น ชื่อตัวละคร ลักษณะตัวละคร สถานการณ์ต่างๆ สถานที่ วัน เวลา เหตุผลของตัวละคร ฯ แต่ยังไม่มีบทสนทนา (นอกจากว่า จะเป็นประโยคสำคัญ) treatmentหนังสั้น มักมีความยาวประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4 เป็นบทที่นิยมมอบให้คนอื่นอ่าน เพราะจะมีรายละเอียดที่มากพอจะเล่าเรื่องได้สมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงมักตั้งชื่อตัวละครไปด้วย อย่างที่เคยกล่าวมาว่า ชื่อตัวละครของหนังสั้นที่ดี ควรจะสื่อถึงcharacterด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ถึงกับสื่อสารได้ทันที แต่ก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ ถ้าเราจะไม่ได้คิดมามั่วๆ

Scenario


     Scenario scenario เป็นขั้นตอนต่อมาจาก treatment มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งฉากของtreatment ให้เห็นเป็นsceneชัดเจน และนิยมเขียนเป็นข้อๆว่า ในsceneเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อคำนวณความยาวของแต่ละฉาก และคะเนได้ว่าทั้งเรื่องจะยาวเท่าไหร่ สำนวนการเขียนจะรวบรัด และใช้ภาษาอธิบายเหตุการณ์ การแสดง มากกว่าอธิบายความคิด หรืออารมณ์ตัวละคร ในขั้นการเขียนscenario จะมีการเขียนหัวฉาก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.Scene Number เขียนว่า ฉาก1 หรือScene1หรือrunเป็นตัวอักษร ตามแต่ถนัด 2.ระบุว่าเป็นฉากภายนอกหรือภายใน ฉากภายนอก หมายถึง ฉากที่อยู่กลางแจ้ง ไม่มีฝาผนัง หลังคา หรือสิ่งปกคลุม เช่น สนามกอล์ฟ ถนน สะพานลอย ทุ่งนา ดาดฟ้า ฯ หรือพูดง่ายๆว่าภายนอกจากอาคารหรือสิ่งปกคลุม นิยมเขียนว่า ภายนอกหรือExteriorหรือExt ฉากภายในหมายถึง ฉากที่มีฝาผนังอย่างน้อย1ด้าน ภายในอาคาร อุโมงค์ใต้ดิน ในรถ ในบ้าน นิยมเขียนว่า ภายในหรือInteriorหรือInt 3.ชื่อฉาก หมายถึง ชื่อสถานที่นั้นๆ เช่น ห้องฉุกเฉิน สถานีตำรวจ ออฟฟิศฯ (ให้เขียนชื่อสถานที่ตามเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ชื่อLocationจริง) 4.เวลา ให้เขียนเวลาตามเนื้อเรื่อง นิยมเขียน กลางวัน , กลางคืน หรือDay , Night แต่ถ้าจะระบุช่วงเวลาละเอียดกว่านั้นก็ได้ เช่น เช้าตรู่ ,เที่ยง , โพล้เพล้

Paradigm


     Paradigm เป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอนหนึ่ง ที่ช่วยสรุปจังหวะของการเขียนบทที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ขั้นตอนที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่าเรื่องนั้นดำเนินไปเป็นฉากๆแล้ว แต่เรายังไม่ได้ถอยออกมา แล้วมองเรื่องทั้งเรื่อง เป็นจังหวะหรือstepของการดำเนินเรื่อง วิธีการของขั้นตอนนี้ จะเน้นไปที่การวิเคราะห์และตีความ คุณสมบัติหรือหน้าที่ของแต่ละฉาก เพื่อตรวจสอบดูว่าอะไรขาด อะไรเกิน และไปสู่การ ออกแบบstepของการเล่าเรื่องนั่นแหละครับ ถ้าไม่พอใจ จะได้แก้ไขก่อนจะเข้าสู่Screenplay การวิเคราะห์ ตีความ คุณสมบัติและหน้าที่ของฉาก คุณสมบัติหรือหน้าที่ที่พูดถึงนี้ คือ หน้าที่ต่อการเล่าเรื่อง เล่าอารมณ์ เราต้องสรุปได้ว่า ฉากนั้นๆ มีประโยชน์อย่างไร

ที่มา : http://www.slideshare.net/wichaikramutkan/ss-28827667

บทบัญญัติ 10 ประการ

บทบัญญัติ 10 ประการของการเขียนบทภาพยนตร์

      ผู้คนส่วนมากรู้จักการเขียนบทภาพยนตร์ แต่หากว่าคุณทำลายกฎเหล่านี้ จิตวิญญาณของคุณจะถูกสาปแช่งให้เป็นพวกมือสมัครเล่นตราบชั่วนิรันดร์หรืออาจยากเกินไปที่จะเป็นมือโปร ไม่ว่าทางใด คุณก็ต้องพิจารณอย่างรอบคอบเอาเองกับการชี้แนะเหล่านี้ไม่ว่าจะไปเขียนหรือจะไปรีไรท์บทของคุณ

เขียนบทภาพยนตร์ตามข้อบัญญัติ

1.สร้างความเพลิดเพลิดให้มากและมากขึ้น
     ความบันเทิงเป็นเหตุผลแรกที่จะทำให้คนออกไปดูหนัง ผู้ผลิตทุกคนรู้ดี ดังนั้นควรใส่ใจกับข้อ 1 ในบทของคุณ จงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการสร้างตัวละครหรือสถานการณ์ความเพลิดเพลินขึ้น และคุณก็จะได้เป็นนักเขียนในแบบที่ต้องการ บอกไว้เลย หากมีอะไรในบทของคุณไม่ได้สร้างความเอนเตอร์เทน “แก้ไขมันซะ”

2. ทำให้ทุกๆสิ่งน่าสนใจ
     อุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยนักอ่านที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารเลิศรสจากนักเขียนบทมืออาชีพ หากคุณต้องการโดดเด้งออกมา ควรหว่านเสน่ห์ความสนใจต่อพวกเขาและทำให้พวกเขาลืมว่ากำลังทำงานอยู่ควรที่จะทำต่อไปไม่หยุดยั้ง ทำให้ซีนของคุณน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตัวละครของคุณน่าสนใจ ทำให้บทสนทนาน่าสนใจ ทำให้ทุกสิ่งน่าสนใจ
3. ทำให้เราไม่สามารถหยุดติดตามตัวละครเอกได้
    นักเขียนบทมืออาชีพตั้งใจสร้างตัวละครที่พวกเราอยากติดตาม มีความพิเศษแถมน่าสนิทสนมด้วย พวกเราสามารถเกี่ยวก้อยกับเขาและต้องการร่วมทางไปกับตัวละคร
    หลักการทั่วไป ตัวละครเอกของคุณควรเป็นบุคคลที่เพอร์เฟ็กค์ที่พาเราจมลึกลงไปในเรื่องและความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น อย่าทำแค่ให้มันดี แต่ทำให้มันยอดเยี่ยมกระเทียมดองไปเลย
4. สัญญากับพวกเราว่านี่คือสิ่งพิเศษที่กำลังมอบให้     ด้วยวิธีใดก็ตาม คุณต้องทำให้คนอ่านบทของคุณไปจนถึงหน้าสุดท้าย และนี่คือการแก้ปัญหา
15 ปีที่แล้ว ผมเคยอ่านหนังสือชื่อ “A Story Is A Promise” โดย บิลล์ จอห์นสัน ตั้งแต่นั้นมา ผมจะมองหาบทจากมุมมองว่า “อะไรคือคำสัญญาที่คุณจะให้กับคนอ่าน/ผู้ชมและคุณดำเนินไปในทางที่ไม่เหมือนใครได้อย่างไร”
     หัวใจสำคัญคือคุณคาดหวังต่อความสำเร็จจากตัวละครเอกหรือการเผชิญหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในองค์ 3 ระหว่างตัวเอกและตัวร้าย ถ้าสัญญายังซื่อสัตย์พอ พวกเราจะอ่านทุกหน้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

5.แสดงให้เห็นถึงความหมายอันลุ่มลึก
    ความหมายสามารถใส่เข้าไปในพล็อต,ตัวละคร,สถานการณ์,การกระทำ และบทสนทนาของบทฯ มันไม่จำเป็นต้องลึกซึ้ง เพียงอยู่ด้านล่างต่อการรับรู้ของผู้ชม
ผู้ชมและคนอ่านไม่ได้ชื่นชมการเขียนที่ตรงจนเกินไป ความหมายซ่อนนัย(Subtext)เปิดโอกาสให้พวกเขาได้สัมผัสกับภาพยนตร์ พวกเขาจะได้รับประสบการณ์ข้างในของเรื่องราว เพราะว่าพวกเขากำลังตีความว่าอะไรที่บทสนทนาและการแสดงหมายถึงจริงๆ เนื่องจากว่ามีความสำคัญที่จะต้องดูแล Subtext ของเรื่อง ดีกว่าสร้างเรื่องบนพื้นผิวแต่เพียงอย่างเดียว

6. วางตัวละครที่ของคุณอย่างสะบักสะบอม
     พ่อแม่ที่ดีจะดูแลลูกน้อยไม่ให้ใครมาทำอันตราย เช่นกันนักเขียนที่ยิ่งใหญ่จะวางตัวละครในสถานที่ย่ำแย่ที่สุดที่เป็นไปได้เพื่อท้าทายความเชื่อและข้อจำกัดด้านร่างกายของเขา อย่าหลงผสมสองสิ่งเข้าด้วยกันหล่ะ ผู้ชมไม่ต้องการดูหนังเพื่อเห็นตัวละครอยู่สุขสบายปลอดภัย พวกเขาต้องการเห็นตัวละครเสี่ยงภัย,ประสบอันตราย,โอกาสหนีรอดน้อยมากจากสิ่งที่ท้าทาย อาชีพนักเขียนบทภาพยนตร์จะทำให้คุณทำงานได้อย่างอึดทนทาน โดยร่างสุดท้าย ตัวละครของคุณจะเกลียดคุณสำหรับความเลวร้ายทุกสิ่งที่คุณมอบให้กับเขา จงไปทรมานตัวละครที่คุณรักซะ

7. ปล่อยบทสนทนาของคุณไปจะช่วยสะท้อนตัวละครได้มากขึ้น
    นักเขียนมือใหม่มักจะใส่บทสนทนาของพวกเขาด้วยการอธิบายรายละเอียดของเรื่อง นี่เป็นการลดค่าของตัวละครและความสร้างสรรค์ที่จะแสดงออกมาผ่านบทสนทนา ดังนั้นจงอย่าทำใส่การอธิบาย,ข้อมูล และรายละเอียดเรื่องเข้าไปในการกระทำและสถานการณ์แทน
     ยกตัวอย่างแทนที่พี่เลี้ยงนักมวยใหม่จะคอยพร่ำบอกซึ่งนั่นเป็นเป็นวิธีการที่ไม่ได้ผล ให้ลองใส่ตัวละครเข้าไปในเวทีมวยและเรียนรู้การถูกเตะ คราวนี้แหละพี่เลี้ยงไม่ต้องคอยสอนแล้ว ตามความจริงแล้วเขาจะมีอิสระในการพูดทุกสิ่ง – อาหารเช้า,การเมือง,หมาตัวโปรด และอื่นๆ เพราะว่าความหมายที่แท้จริงจะถูกบอกผ่านการกระทำเท่านั้น มันจะช่วยให้คุณมีอิสระขึ้นซึ่งจะทำให้คุณเจิดจ้าทางความมากขึ้นกว่าเดิมด้วยบทสนทนาอย่างแน่นอน

8. ใส่ความคลิเช่เข้าไปในไอเดียสดใหม่
    ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ คำว่า คลิเช่ (cliché) หมายถึง “บางอย่างที่เคยเห็นมาก่อนแล้ว” หากคุณเขียนบทด้วยพล็อดเดิม ตัวเอกคนเดิม หรือสถานการณ์คล้ายเดิม คนดูจะสะดุดไปคนดูต้องการเห็นเรื่องราวเดิมๆในหนทางที่แปลกใหม่และตัวละครตัวเดิมมีบางสิ่งพิเศษ นั่นหมายความตัวละคร,สถานการณ์,การกระทำ และบทสนทนาของคุณจำเป็นต้องไม่ซ้ำกับใคร
    ความท้าทายของคุณ : ตามล่าหาคลิเช่นในบทของคุณและระดมสมองหาวิธีการที่ไม่ซ้ำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ให้ใครก็ได้ช่วยบิดหรือดัดในหลายๆเสียงที่แตกต่างกัน มันเป็นชิ้นส่วนเล็กของงานก็จริง แต่มันได้ผลทันทีในบทของคุณ

9. อนุญาติให้ตัวเองเขียนร่างแรกได้ห่วยๆ…
….และทำให้ตัวคุณเขียนร่างสุดท้ายได้อย่างเยี่ยมยอดสมบูรณ์ ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ
นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการเขียนบทดีกว่าการพยายามทำให้ดีตั้งแต่ร่างแรกและทำให้ตัวเองเขียนต่อไปไม่ได้(หัวตัน) ร่างแรกเป็นเวลาสำหรับการปลดปล่อยความอิสระแห่งการแสดงออก อย่าไปวิพากษ์งานของคุณ คุณต้องค้นหาเกี่ยวเรื่องของคุณ,ตัวละคร และอื่นๆ วิธีอื่น นักเขียนมักส่งบทไปให้กับโปรดิวเซอร์ทั้งที่ยังไม่พร้อม เพราะนั่นเป็นเวลาที่จะวิจารณ์และเป็นร่างที่สมบูรณ์จริงๆ คุณต้องเชื่อมต่อกับกระบวนการสร้างสรรค์ในตัวคุณ เร็วเท่าไหร่ยิ่งได้รับความสำเร็จมากเท่านั้น

10. คิดย้ำๆเกี่ยวกับบทของคุณ จนกระทั่งเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุดที่สามารถเป็นได้
    นี่เป็นความท้าทายสุดท้ายของนักเขียนบทมือชีพ นั่นคือคิดแล้วคิดอีก-ครั้งแล้วครั้งเล่าจนคุณค้นพบทางที่ดีที่สุดที่จะบอกเรื่องราวนี้ หากคุณคิดว่าเรื่องและตัวละครสมบูรณ์แบบแล้ว คุณควรจะลองจินตนาการในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเขียนเรื่องได้ดีกว่า แต่มันจะช่วยคุณทำงานกับบริษัทถ่ายทำและสตูดิโอ เมื่อเขาขอเปลี่ยนแปลงบทของคุณได้
"ทำให้บทบัญญัติ 10 ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนบท
และสักวันในไม่ช้าคุณจะเขียนบทภาพยนตร์ฮอลีวู้ดได้เหมือนพระเจ้าเขียนเลย"
ที่มา : http://pantip.com/topic/30755922

การเขียน story board



ความหมาย
     สตอรี่บอร์ด (Story Board) คือ การเขียนกรอบแสดงเรื่องราวที่สมบูรณ์ของภาพยนตร์หรือหนังแต่ละเรื่อง โดยมีการแสดงรายละเอียดที่จะปรากฏในแต่ละฉากหรือแต่ละหน้าจอ เช่น ข้อความ ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี เสียงพูดและแต่ละอย่างนั้นมีลำดับของการปรากฏว่าอะไรจะปรากฏขึ้นก่อน-หลัง อะไรจะปรากฏพร้อมกัน เป็นการออกแบบอย่างละเอียดในแต่ละหน้าจอก่อนที่จะลงมือสร้างเอนิเมชันหรือ หนังขึ้นมาจริงๆ
• Storyboard คือ การสร้างภาพให้เห็นลำดับขั้นตอนตามเนื้อเรื่องที่ต้องการ โดยเฉพาะภาพเคลื่อนไหว
• รายละเอียดที่ควรมีใน Storyboard ได้แก่ คำอธิบายแต่ละสื่อที่ใช้ (ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิโอ)


หลักการเขียน
    รูปแบบของสตอรี่บอร์ด จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนภาพกับส่วนเสียง โดยปกติการเขียนสตอรี่บอร์ด ก็จะวาดภาพในกรอบสี่เหลี่ยม ต่อด้วยการเขียนบทบรรยายภาพหรือบทการสนทนา และส่วนสุดท้ายคือการใส่เสียงซึ่งอาจจะประกอบด้วยเสียงสนทนา เสียงบรรเลง และเสียงประกอบต่างๆ

สิ่งสำคัญที่อยู่ภายในสตอรี่บอร์ด ประกอบด้วย

- ตัวละครหรือฉาก ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่หรือตัวการ์ตูน และที่สำคัญ คือ พวกเขากำลังเคลื่อนไหวอย่างไร

- มุมกล้อง ทั้งในเรื่องของขนาดภาพ มุมภาพและการเคลื่อนกล้อง

- เสียงการพูดกันระหว่างตัวละคร มีเสียงประกอบหรือเสียงดนตรีอย่างไร

ข้อดีของการทำ Story Board

1. ช่วยให้เนื้อเรื่องลื่นไหล เพราะได้อ่านทวนตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะลงมือวาดจริง

2. ช่วยให้เนื้อเรื่องไม่ออกทะเล เพราะมีแผนการวาดกำกับไว้หมดแล้ว

3. ช่วยกะปริมาณบทพูดให้พอดีและเหมาะสมกับหน้ากระดาษและบอลลูนนั้น ๆ

4. ช่วยให้สามารถวาดจบได้ในจำนวนหน้าที่กำหนด (สำคัญสุด!)


ขั้นตอนการทำ Story Board

1.วางโครงเรื่องหลัก ไม่ว่าจะเป็น Theme, ตัวละครหลัก, ฉาก ฯลฯ

1.1 แนวเรื่อง

1.2 ฉาก

1.3 เนื้อเรื่องย่อ

1.4 Theme/แก่น (ข้อคิด/สิ่งที่ต้องการจะสื่อ)

1.5 ตัวละคร สิ่งสำคัญคือกำหนดรูปลักษณ์ของตัวละครแต่ละตัวให้โดดเด่นไม่คล้ายกันจนเกิน ไป ควรออกแบบรูปลักษณ์ของตัวละครให้โดดเด่นแตกต่างกัน และมองแล้วสามารถสื่อถึงลักษณะนิสัยของตัวละครได้ทันที

2. ลำดับเหตุการณ์คร่าว ๆ

จุดสำคัญคือ ทุกเหตุการณ์จะเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เหตุการณ์ก่อนหน้าจะทำให้เหตุการณ์ต่อมามีน้ำหนักมากขึ้น และต้องหา จุด Climax ของเรื่องให้ได้ จุดนี้จะเป็นจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดก่อนที่จะเฉลยปมทุกอย่างในเรื่อง การสร้างปมให้ผู้อ่านสงสัยก็เป็นจุดสำคัญในการสร้างเรื่อง ปมจะทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามในใจและคาดเดาเนื้อเรื่องรวมถึงตอนจบไปต่าง ๆ นานา

3. กำหนดหน้า

4. แต่งบท

เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนลงมือวาดสตอรี่บอร์ด ควรเขียนบทพูดและบทความคิดที่จะใช้เขียนลงในหนังออกมาโดยละเอียดเพื่อที่จะได้กำหนดขนาดของบอลลูนและจัดวางลงบนหน้ากระดาษได้อย่าเหมาะสม

5. ลงมือเขียน Story Board

แบบฟอร์มการเขียนสตอรี่บอร์ดแบบต่างๆ

แบบที่ 1


แบบที่ 2


แบบที่ 3


ตัวอย่างสตอรี่บอร์ด (Story Board)

ที่มา https://sites.google.com/site/pathumwilairoom1/kar-kheiyn-s-tx-ri-bxrd-storyboard

Teaser กับ Trailer

Teaser กับ Trailer เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

Teaser 
- Teaser ตรงตามความหมายของคำศัพท์คือ ยั่วเย้า ไม่จำเป็นว่าจะต้องตีกรอบไว้เฉพาะที่เป็นวีดีโอ ใบปิดหนังก็เรียก Teaser ได้ ในส่วนภาพเคลื่อนไหว ก็จะออกมาเป็นตัวอย่างหนังที่เป็นทีเซอร์ จะมีความยาวแบบสั้นๆครับ แค่นาทีหนึ่งบวกลบคงไม่เกิน30วินาที ซึ่งไม่ใช่กฏตายตัวแต่อย่างใด แล้วแต่ผู้ผลิต จุดประสงค์หลักๆ คือยั่วเย้าให้คนดูอยากติดตาม ที่สำคัญมันต้องสั้น ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหนังมาก


Trailer

Trailer (เทรลเลอร์) คล้ายกับ Teaser แต่ยาวกว่า จุดประสงค์เดียวกัน แต่ถ้า Teaser ทำยาว3-4นาที ก็ยังเรียก Trailer ไม่ได้อยู่ดีครับ ถ้าขาดองค์ประกอบทั้ง แนวเรื่อง, อารมณ์เรื่อง, พล็อตเรื่องคร่าวๆ , ฉากไฮไลท์ เอาง่ายๆคือบอกรายละเอียดมากกว่า Teaser ในบรรดาหนังฮอลลิวูดส์ มี Trailer หนังที่ประสบความสำเร็จมากหลายเรื่อง อย่าง อิมพอสสิเบิล ที่ดึงคนดูอย่างถึงขีด http://www.youtube.com/watch?v=THVFkk-sEus ที่มาของ trailer นั้น
ถ้าแปลก็ ผู้สะกดรอย ส่วนใหญ่คงเข้าใจว่าประมาณบอกคร่าวๆให้รู้ (ตำราม.รามยังใส่เลย) แต่ถ้าลองค้นประวัติคือ ในช่วงแรก Trailer จะฉายต่อท้ายหนัง แต่ภายหลังถึงเปลี่ยนมาฉายก่อนหนังจะเริ่ม (ส่วนใหญ่ถ่ายเสร็จแล้วจึงออก ส่วนTeaser จะออกตอนถ่ายหนังไม่เสร็จ) ดังนั้นคำนี้ จึงน่าจะมาจากความหมายเดิมของ Trailer อีกตัวที่แปลว่า "พ่วง" "ต่อท้าย" 



ที่มา : http://board.postjung.com/705613.html